การเสด็จพระราชดำเนิน เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ของสยาม ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีน นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ได้ตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน
ดร. อดิศร ชัยรัตนกนก เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ให้มุมมองว่า ว่า การเสด็จฯ ในครั้งนี้ถือเป็น Strategic Symbolism ที่เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ การต้อนรับในระดับสูงสุดจากผู้นำจีน รวมถึงการให้เกียรติของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ต่อพระองค์ทั้งสอง เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความสำคัญ
ผลตอบรับในจีนพบว่า ทุกแพลตฟอร์มของจีน ไม่ว่าจะเป็น SEO หรือฟีดแบ็กต่างๆ ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 และเป็น Positive Comment ทั้งหมด นี่คือจุดสำคัญที่ทำให้ ปัญหาภาพลักษณ์เชิงลบ ที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความปลอดภัย หรือเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ได้ หายไปหมด ภายใน 3 – 4 วันที่ผ่านมา
นอกจากมิติการท่องเที่ยวแล้ว การเสด็จฯ เยือนศูนย์ด้านฮิวแมนนอยด์ (Humanoid) และเทคโนโลยีต่างๆ ยังเป็นการกระชับความสำคัญด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจีนมีความก้าวหน้าอย่างมาก เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำคำว่า ‘จงไท่อิจาชิง’ หรือ จีนไทยเป็นพี่น้องกัน ในทุกๆ แพลตฟอร์มของจีน
ซอฟต์พาวเวอร์ชุดไทย ปัจจัยเร่งการตัดสินใจเดินทาง
สิ่งที่กระตุ้นกระแสเชิงบวกอย่างรวดเร็วคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ฉลองพระองค์ชุดไทย ได้รับการตอบรับและชื่นชมอย่างมากจากชาวจีน ชาวจีนแสดงความคิดเห็นว่า พระองค์ทรงเป็นสุภาพสตรีที่สามารถบ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นไทย
กระแสนี้เกิดขึ้นได้ถูกจังหวะ เนื่องจากผลสำรวจล่าสุดของ CTA (China Tourism Academy) ชี้ว่า 58.1% ของการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบัน มีผู้หญิงเป็นผู้นำ ในการตัดสินใจ ในหลายประเด็น เช่น
- กระแสชุดไทยทำให้เกิดการเชื่อมโยงบนแพลตฟอร์มของจีนว่า ‘ฉันต้องมาประเทศไทย ต้องใส่ชุดไทยง และ ‘อยากมีความงามแบบสตรีไทย’
- สิ่งนี้เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยต้องนำมาต่อยอดด้วยการ ร้อยเรียงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์
- ล่าสุด บริษัททัวร์จีนที่ขายแพ็กเกจประเทศไทยได้เริ่มทำ ไลฟ์ขายแพ็กเกจ 24 ชั่วโมง แล้ว และพบว่ากระแสมีความคึกคักและกระหึ่มอย่างมาก ซึ่งถือเป็นทิศทางเชิงบวกด้านแคมเปญการตลาด
คาดนักท่องเที่ยวจีนปีหน้ามาไทยพุ่ง 9 ล้านคน
จากกระแสเชิงบวกที่เกิดขึ้น ดร.อดิศร ได้ปรับประมาณการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนสำหรับปีนี้และปีหน้า
- ปี 2568 ยังคงคาดหวังว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะ จบที่ 5 ล้านคน ได้
- สัญญาณตลาด ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสิ้นปี ตัวเลขโหลดแฟกเตอร์ (Load Factor) ได้กระโดดขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
- ราคาตั๋วเครื่องบินจากไทยไปจีน ในบางเส้นทางได้ เพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือ 3 เท่า โดยเฉพาะในช่วงพีคซีซัน
- ปี 2569 หากกระแสเชิงบวกนี้ยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงตรุษจีน คาดว่าปีหน้าประเทศไทยจะสามารถคาดหวังนักท่องเที่ยวจีนได้สูงถึง 9 ล้านคน
- ปี 2570 คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะกลับสู่ระดับ 10 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19

ภาพ : ดร. อดิศร ชัยรัตนกนก เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)
ข้อเสนอแนะ ภาคเอกชนต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้วย ‘คุณภาพและความปลอดภัย’
เพื่อรักษาและต่อยอดกระแสเชิงบวกนี้ ดร. อดิศร ได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่ภาคเอกชนและประชาชนไทยควรทำ
- ความเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้องสร้างมิติของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี และที่สำคัญคือการ แบ่งแยกระหว่างคนดีกับคนไม่ดี (เช่น กลุ่มจีนเทา) พร้อมทั้งเป็นฝ่ายระแวดระวังภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาประเทศไทย
- คุณภาพการบริการและความปลอดภัย คนไทยต้องช่วยกันดูแล และเน้นเรื่อง คุณภาพการบริการ ปัจจุบัน ATTA กำลังรณรงค์แคมเปญเรื่องการ สร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยในทุกมิติ ให้แก่นักท่องเที่ยว
- สร้างภูมิคุ้มกันอุตสาหกรรม คุณภาพถือเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- เป้าหมายร่วมกัน (Win-Win) ต้องมีเป้าหมายของประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว การยึดหลักความปลอดภัย คุณภาพ และเป้าหมายร่วมกัน จะนำไปสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต
ช่วยฟื้นความสัมพันธ์ไทย-จีน แนบแน่นหลายมิติทางเศรษฐกิจ
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน และสมาชิกหอการค้าฯ ให้มุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่า จีนเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับมิติทางการเมือง มาก่อนมิติทางเศรษฐกิจ การที่กษัตริย์ไทยเสด็จฯ เยือนประเทศจีนในครั้งนี้ เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ ทางการเมืองในระดับประมุข ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ซึ่งจะเกิดประโยชน์ ในมิติเศรษฐกิจตามมาในหลายด้าน ได้แก่
– มิติการท่องเที่ยว ในการที่ในหลวง และพระราชินีเสด็จฯ เยือนจีนในครั้งนี้ ทางการจีนได้มีการเผยแพร่ข่าวเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวไทยในเชิงบวกมากขึ้น ต่อประชาชนจีน ซึ่งจะส่งผลดีต่อ การท่องเที่ยวในวงกว้าง เริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล หลังจากที่ตลอดปีนี้ไทยกับจีน มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวจีนกังวลที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
สืบเนื่องจากปัญหาสแกมเมอร์ ทำให้เกิดข่าวเชิงลบต่อการท่องเที่ยวไทย ในหมู่คนจีน
– มิติการค้า ล่าสุดจีนรับซื้อข้าว 500,000 ตัน สะท้อนว่าจีน ให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับฝ่ายไทย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยควรร้องขอ แต่ก่อนหน้านี้ในการประชุมเราไม่กล้าขอต่อรองดีลใหญ่ๆ คาดว่า จีนจะยอมซื้อในราคามิตรภาพเพื่อแสดงน้ำใจต่อไทย นอกจากนี้เรายังเห็น เพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย เปิดการขยายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรังนก
– มิติการลงทุน พอมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดี ก็จะส่งผลให้ความเชื่อมั่น ในหมู่นักลงทุนดีขึ้นตาม เชื่อมโยงไปยังมิติที่เกี่ยวเนื่องซึ่งค้างคากันอยู่ เช่น การสร้างทางรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างกัน การซื้อเรือดำน้ำ ได้รับการปลดล็อค
– มิติการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ในการเสด็จเยือนประเทศจีนครั้งนี้ นอกจากทั้งสองพระองค์ จะเยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสตร์แล้ว ยังทอดพระเนตร ดูงานนวัตรกรรมเทคโนโลยีของจีน เช่น ศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ปักกิ่ง (Beijing Humanoid Robotics Innovation Centre) และศูนย์ควบคุมการบิน และอวกาศจีน( Beijing Aerospace Control Centre)
ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวก ให้ประเทศไทยตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบนิเวศให้รอบด้าน เพื่อรองรับการลงทุนจากจีนในอนาคต ซึ่งจะทำให้ การพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย เดินหน้าเร็วขึ้น เป็นการจุดกระแส ความสนใจ กระตุ้นภาครัฐให้เร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และภาคเอกชนไทย ร่วมลงทุนกับธุรกิจจีน หากเกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม จะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของไทย แต่จะยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่ความร่วมมือของรัฐบาล และเอกชน

ภาพ : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
แนะรัฐบาลเดินหน้านโยบายต่อยอดไปยังมิติอื่น
วันนี้มิติด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชัดเจนแล้ว ดร. ไพจิตร แนะนำว่ารัฐบาลควรต่อยอดไปยังมิติอื่น เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
– มิติการท่องเที่ยว ไทยควรต่อยอดกระแส พลิกฟื้นความเชื่อมั่นสร้างข่าวเชิงบวก ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวชั้นดี วัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาที่เป็น soft power เพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากจีนมาไทย ทำให้ความปลอดภัยเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ด้วยการบูรณาการจัดระเบียบการท่องเที่ยว ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างแท้จริง พอบรรยากาศการท่องเที่ยวเป็นเชิงบวก ก็จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวอยากใช้จ่ายเพิ่มขึ้น บรรเทาผลกระทบแหล่งช็อปปิ้ง และดิวตี้ฟรีที่รายได้ลดลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีน
“นักท่องเที่ยวจีนที่หดหายไป ไม่ใช่แค่ในเชิงของปริมาณ แต่หดหายในเชิงคุณภาพด้วย” ดร.ไพจิตรกล่าว
– มิติการค้า ไทยต้องสร้างคณะผู้แทนการค้า สำรวจตลาด ลู่ทางการสร้างโอกาส เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการ เพื่อขยายตลาดให้เป็นรูปธรรม เมื่อเข้าใจ ธรรมชาติของตลาด พฤติกรรม ผู้บริโภคก็จะทำให้สินค้าไทย ทำการตลาด ในจีนได้เหมาะสม ปัจจุบันการค้าของจีน อยู่ในช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ คู่ขนานกันไป แต่โอกาสของสินค้าไทย คือเราต้องขยับตัวเอง ไปสู่ การค้าขาย ออนไลน์ มากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงคนจีน เช่น Douyin, Xiaohongshu และ Wechat สร้างช่องทางประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูลเข้าถึงง่าย
– มิติการลงทุน ทำอย่างไร ให้ประเทศไทยพร้อมรับโอกาส การลงทุนจากจีน ต้องพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน แก้ไขกฎการระเบียบ การลงทุน การให้สิทธิประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวก การลงทุนมากยิ่งขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะประเทศจีน
“ถ้าเราทำทุกอย่างด้วยความเป็นมืออาชีพ และโปร่งใส นักลงทุนจะมาเอง
เขาอยากมาอยู่แล้ว ถ้าการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ก็ยากที่จะเกิดประโยชน์
ในมิติเศรษฐกิจ” ดร.ไพจิตรกล่าว
วันนี้มิติความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน นิ่งแล้ว รัฐบาลไทยต้องรู้จัก ต่อยอดให้เกิดสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้ได้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี
ทั้งในเชิงวิชาการ ระดับรัฐบาลและภาคเอกชน ถ้าทำสิ่งนี้ไปสักระยะ เศรษฐกิจจะเกิดการเคลื่อนตัวไทยและจีนจะเข้าใจกันมากขึ้น ส่งผลต่อเนื่อง ไปยังเศรษฐกิจทั้งสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม มิติด้านการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยี การลงทุนจะเห็นผลลัพธ์ช้ากว่า การท่องเที่ยวและการค้า
ภาพ: charnsitr/Shutterstock


