ผลการแข่งขันที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา คงบ่งบอกได้ชัดว่าสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในวิกฤตระดับไหน
เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับลิเวอร์พูลไปถึง 0-5 ในบ้านของตัวเอง ในรูปแบบที่นักเตะชั้นนำของโลกหลายคนในทีมไม่สามารถทำอะไร เพื่อแก้ไขสถานการณ์ระหว่างเกมให้ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
คำถามสำคัญต่อจากนี้ คือแล้วปัญหาที่สะท้อนออกมาจากเกมเมื่อคืนมีอะไรบ้าง สำหรับสโมสรที่ยังคงหาหนทางไปสู่ความสำเร็จของตนเองไม่เจอ
1. ไร้ทิศทาง
หากมีสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่ง มีนักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, บรูโน แฟร์นันด์ส, พอล ป็อกบา รวมถึงผู้รักษาประตูอย่าง ดาบิด เด เคอา หรือแม้กระทั่ง ดอนนี ฟาน เดอ บีค อยู่ในทีม
หากหลับตาไม่ดูชื่อสโมสร เราก็คงเชื่อว่านี่จะเป็นทีมที่สามารถต่อกรกับใครก็ได้ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษด้วยการบริหารจัดการที่ลงตัว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อคืนที่ผ่านมาคือนักเตะที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด เตะบอลที่อยู่ตรงลำตัวคู่แข่งจนโดนใบเหลือง
กองกลางชุดแชมป์โลกฝรั่งเศสอย่างป็อกบา ลงสนามมาได้แค่ 15 นาทีก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม
ขณะที่ ดอนนี ฟาน เดอ บีค ก็ยังคงนั่งในตำแหน่งผู้เล่นสำรอง ร่วมกับ จาดอน ซานโช อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลยุโรป ที่ยังหาหนทางของตัวเองที่สโมสรแห่งนี้ไม่เจอ
ส่วนสไตล์การเล่นในช่วงท้ายเกมที่แฟนบอลหลายคนเริ่มต้นทยอยกลับบ้านก็ย่ำแย่เสียจนผู้บรรยายภาษาอังกฤษใช้คำว่า ลิเวอร์พูลกำลังลงสนามฝึกซ้อม เคาะบอลรอบตัวนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนครบ 90 นาที
2. ไร้ผู้นำ
ผู้นำคือคนที่เรามองไปหาเมื่อเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ หรือต้องการแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์ ไม่ว่าจะเร่งด่วนหรือระยะยาว
แต่ในเกมกับลิเวอร์พูล แฮร์รี แม็กไกวร์ กองหลังกัปตันทีม ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อสถานการณ์ตกต่ำย่ำแย่ ระหว่างการถ่ายทอดสด เราแทบไม่เห็นเขามีบทบาทในการกระตุ้นลูกทีมให้ลุกกลับขึ้นมาสู้ใหม่
เช่นเดียวกับ โรนัลโด ดาวยิงที่ถูกคาดหวังให้เป็นตัวอย่างของนักเตะดาวรุ่งในทีม กลับทำตัวไม่เหมาะสมอย่างรุนแรงจนโดนใบเหลืองในจังหวะที่กล่าวมาก่อนหน้านี้
ทำให้ในสนาม นักเตะของปีศาจแดงเต็มไปด้วยผู้ตาม ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังตามแนวทางของใครอยู่ในเกม
3. ไร้แผนการ
จุดนี้เป็นสิ่งที่แฟนบอลปีศาจบางกลุ่มตั้งคำถามในตัวของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กุนซือปีศาจแดงมาโดยตลอด
เพราะที่ผ่านมา ข้อดีของเขาคือรักษาสภาพบรรยากาศภายในทีม จากที่เคยย่ำแย่ในยุคของ โชเซ มูรินโญ ให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับอีกครั้งในนามของนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ข้อเสียตลอดมาคือการถูกตั้งคำถามเรื่องของการแก้เกม หรือ วางแผนสำหรับเกมใหญ่ที่ต้องพบเจอกับกุนซือร่วมลีกอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา เจอร์เกน คล็อปป์ และ โธมัส ทูเคิล ที่ต่างก็เป็นกุนซือชั้นนำของโลก ที่มีครบทั้ง ด้านจิตวิทยา และความรู้ทางด้านแท็กติก
ซึ่งผลของการขาดความรู้ในด้านแท็กติกของโชลชาร์ ก็ส่งผลให้เราเห็นทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเล่นแบบไร้ทิศทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งเวลาหลังของเกมที่ดูแล้ว ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรได้จากทีม
4. วิกฤตเกมรับ
เกมรุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะดูน่าเกรงขามจากรายชื่อ แต่สำหรับเกมรับ แม้ว่าจะได้นักเตะอย่าง ราฟาเอล วาราน มาเสริมทัพ แต่ปัญหาที่แท้จริง ยังไม่ได้รับการแก้ไข
เพราะปัญหาที่แท้จริงคือการที่ทีมยังไม่สามารถหานักเตะในแดนกลางที่ลงตัวได้
เพราะที่ผ่านมาโซลชาร์เลือกใช้ เฟร็ด และ สกอต แม็คโทมิเนย์ ในการประสานงานช่วยเกมรับ เพื่อสร้างอิสระในการทำเกมรุกให้กับ บรูโน แฟร์นันด์ส และ พอล ป็อกบา ที่บางครั้งก็ถูกขยับไปเล่นปีก เพื่อให้อิสระในการสร้างสรรค์เกมมากขึ้น
แต่เมื่อนักเตะทั้งเฟร็ดและแม็คโทมิเนย์พลาดในการทำเกมจากแดนกลาง ปัญหาเกมรับที่ทั้งสองลงมาเพื่อแก้ไข กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาเสียเอง โดยเฉพาะการจ่ายบอลเสียในตำแหน่งอันตรายในเกมที่พบกับลิเวอร์พูลที่ผ่านมา
นอกจากนี้ แฮร์รี แม็กไกวร์ ที่ควรจะเป็นทั้งผู้นำและกองหลังคนสำคัญ ก็กลับมากลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อจังหวะที่เขาพลาดหลายครั้ง นำไปสู่การเสียประตูของทีม
5. ความคาดหวัง ปัญหาเรื้อรังที่แก้ไขยากที่สุด
หากไม่นับเรื่องราวในอดีต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เป็นแค่ชื่อของสโมสรแห่งหนึ่ง
แต่เมื่อนับอดีตของความสำเร็จ และชื่อของนักเตะระดับตำนาน ชื่อนี้มีความหมายเท่ากับความคาดหวังที่สูง และใครก็ตามที่มารับหน้าที่บริหารจัดการทีม ก็ต้องแบกรับหน้าที่ในการบริหารความคาดหวังไปเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมา มีผู้จัดการทีมหลายรูปแบบเดินผ่านอุโมงค์ของสโมสรแห่งนี้ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
แต่ทุกคนต่างก็มีหน้าที่แบกรับความคาดหวังสูงเหมือนกันหมด
ตั้งแต่ เดวิด มอยส์ ที่ถูกมองว่าจะเป็นผู้สานต่อตำนานของกุนซือรุ่นพี่ชาวสกอตอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่สร้างชื่อชั้นให้กับสโมสรตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
แต่สุดท้ายมอยส์ก็ล้มเหลว จนต้องเฟ้นหาตัวแทนที่มีประสบการณ์และชื่อชั้นมากกว่ามาทำทีมจากบทเรียนที่เกิดขึ้น
ทำให้เป็นที่มาของกุนซือที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และชื่อเสียงในด้านแท็กติกอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือจอมเฮี้ยบจากเนเธอร์แลนด์
ที่สุดท้าย แม้ว่าจะสร้างความตื่นเต้นและสีสันให้กับแฟนบอลได้บ้าง พร้อมกับถ้วยแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 2015-16
แต่ก็ต้องแยกทางกับทีมอีกเช่นเดียวกัน เพราะแนวทางของเขาไม่ลงตัวกับสโมสรปิศาจแดง
จนกระทั่งมาถึง ‘The Special One’ โชเซ มูรินโญ กุนซือที่การันตีความสำเร็จทุกที่ที่เขาไปคุมทีม
มูรินโญเข้ามาพร้อมกับความคาดหวังที่สูง และตัวตนที่ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่มีความมั่นใจว่าจะพาสโมสรแห่งนี้ กลับคืนสู่ความสำเร็จอีกครั้ง
ซึ่งหากนับตามผลงาน เขาก็คือคนที่ทำได้มากที่สุด จากผลงานรองแชมป์และแชมป์ยูโรปาลีก ซึ่งเป็นรางวัลปลอบใจให้กับแฟนบอลปีศาจแดงตลอดมา
แต่ด้วยตัวตนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอกับคำวิจารณ์ถึงผลงานของเขา และความมั่นใจที่บางครั้งก็ล้นมากเกินไปสู่นักเตะ
สุดท้ายเขาก็สร้างวิกฤตภายในห้องแต่งตัวของทีม จนเขาเองก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่มีแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย แม้แต่สมัยเดียวกับปีศาจแดง
จนมาถึง โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ คนที่เริ่มต้นด้วยการเป็นกุนซือรักษาการ ในช่วงที่บรรยากาศของทีมเต็มไปด้วยความมืดมน และภายในทีมที่เต็มไปด้วยความแตกแยก
โซลชาร์ได้มอบสิ่งที่แฟนบอลปีศาจแดงโหยหามาตลอด นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวของทีม และดีเอ็นเอของเกมรุกที่สนุกและตื่นเต้นในช่วงแรก
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผลงานของเขาเองก็ยังดูไม่เข้าเป้า ความคาดหวังที่เคยมี ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆ
บรรยากาศที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก็แปรเปลี่ยนเป็นคำวิจารณ์
ซึ่งเสียงวิจารณ์ที่ดังที่สุดไม่ได้มาจากแฟนบอล นักวิเคราะห์หรืออดีตเพื่อนร่วมทีม แต่กลับเป็นจากนักเตะภายในทีมเอง ทั้ง พอล ป็อกบา และ บรูโน แฟร์นันด์ส ที่ออกมาให้สัมภาษณ์วิจารณ์รูปแบบการเล่นของทีม
จนถึงวันนี้ดูเหมือนกับเวลาของโซลชาร์ ในฐานะผู้จัดการทีมของสโมสรของเขากำลังจะหมดลง
แต่ปัญหาที่แท้จริงดูเหมือนว่ายังไม่ถูกแก้ไข
เพราะการเป็นแชมป์เป็นเรื่องที่ง่าย และการรักษาแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า แต่รู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด?
การเข้ามาทำทีมที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จ และเต็มไปด้วยความคาดหวังให้ประสบความสำเร็จในทุกสัปดาห์ต่อจากกุนซืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือที่แทบจะหาคนที่เปรียบเทียบได้ยากทั้งในแง่ของความสม่ำเสมอ และ ความกระหายชัยชนะของเขา
ที่ผ่านมามีหลายสูตรที่สโมสรใหญ่ในยุโรปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อดีตนักเตะมาปลุกดีเอ็นเอของสโมสรอย่าง ซีเนดีน ซีดาน กับ เรอัล มาดริด
การใช้กุนซือการันตีความสำเร็จอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
การให้โอกาสโค้ชที่เต็มไปด้วย คาแรกเตอร์ที่เหมาะกับทีมอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ดูเหมือนกับคนที่รู้ว่าต้องการชัยชนะ แต่ยังไม่รู้ว่าคนที่จะมอบสิ่งนั้นให้กับพวกเขาได้เป็นใคร
เพราะเมื่อโค้ชที่การันตีความสำเร็จ โค้ชที่มีประสบการณ์ โค้ชที่มีดีเอ็นเอ หรือแม้กระทั่งโค้ชที่ดูเหมือนว่าจะถูกเลือกจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเองก็ยังไม่สามารถทำให้เหมาะสมกับความคาดหวังได้
แล้วใครกันล่ะ ที่จะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ อันโตนิโอ คอนเต หรือ ซีเนดีน ซีดาน อาจะเป็นชื่อที่ใครหลายคนนึกถึงในเวลานี้
แต่ก็ยังคงต้องถามต่อไปว่า แล้วคนที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้
ทุกอย่างนี้มีทางเดียวที่จะหาคำตอบได้คือ ทุกฝ่าย ต้องร่วมกันหาแนวทางที่เหมาะสม และเริ่มต้นสร้างความมั่นใจให้กลับคืนสู่นักเตะให้เร็วที่สุด
ไม่อย่างนั้นผลที่จะออกมาต่อจากนี้ ก็คงไม่ต่างกับผลการแข่งขันของเกมที่พ่ายให้กับลิเวอร์พูลเมื่อคืนที่ผ่านมา
เมื่อทีมชั้นนำของลีกเตะบอลอ้อมนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปเรื่อยๆ ในขณะที่เราถามตัวเองว่า สรุปแล้ว เรากำลังทำอะไรอยู่