สรุป 2 วันตึงเครียด 7- 8 ธันวาคม เมื่อความขัดแย้งไทย – กัมพูชาปะทุจากแนวรบชายแดน สู่สงครามทุกมิติ ทั้งสนามรบ ภูมิรัฐศาสตร์ และข้อมูลข่าวสาร ขณะประชาชนเกือบครึ่งล้านชีวิตต้องอพยพออกจากบ้าน
ไทม์ไลน์ 48 ชั่วโมง: จากภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน สู่การรบหลายแนวรบ
7 ธันวาคม: จุดเริ่มต้นที่ภูผาเหล็ก
14.15 น.: เสียงปืนแรกที่ภูผาเหล็ก – พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ
กองพันทหารราบที่ 13 (ฉก.1) ของไทย ปะทะกับกำลังทหารกัมพูชาด้วยอาวุธปืนเล็ก ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ระหว่างที่ฝ่ายไทยกำลังปรับปรุงเส้นทางในเขตไทย ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย 1.ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงที่ขา 2.พลฯ พรชัย จำปาจุม กระสุนโดนเสื้อเกราะบริเวณหน้าอก แน่นหน้าอกแต่ปลอดภัย
14.16 – 14.50 น.: การปะทะยืดเยื้อ
-ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ยิงเข้ามา
-พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 สั่งหน่วยเตรียมพร้อมเต็มรูปแบบ และปฏิบัติตามกฎการปะทะ
14.50 น.: การยิงยุติ แต่หน่วยในพื้นที่ยังคงอยู่ในระดับเฝ้าระวังสูงสุด
บ่าย-เย็น: เตือนอพยพ 4 จังหวัดชายแดนตะวันออก
-ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ออกประกาศเตือนประชาชนในอำเภอชายแดน 4 จังหวัด บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ให้ดำเนินการอพยพไปศูนย์พักพิงตามแผน
ค่ำ-ดึก: การยิงซ้ำ และเคลื่อนย้ายอาวุธหนักฝั่งกัมพูชา
20.00 น.: รายงานว่ากัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงใส่กำลัง พัน.ร.13 ที่ภูผาเหล็ก ศรีสะเกษ และช่องบก จ.อุบลราชธานี รวม 10 นัด ฝ่ายไทยปลอดภัย
ไทยตรวจพบการเคลื่อนย้ายจรวดหลายลำกล้อง RM-70 ของกัมพูชา เข้าพื้นที่ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร พร้อมการอพยพประชาชนกัมพูชาออกจากแนวชายแดน
22.49 น.: เพจกองทัพภาคที่ 2 รายงานตรวจพบ รถถัง T-55 ของกัมพูชา เคลื่อนเข้าไปในพื้นที่กรุงสำโรง จ.อุดรมีชัย ตรงข้ามชายแดนไทย พร้อมอพยพประชาชนกัมพูชาออกจากแนวรบ
23.00 น.: รายงานสถานการณ์รวม ศปก.ทภ.2 ประเมินว่า กัมพูชา
-ยกระดับการเตรียมพร้อมสู้รบขั้นสูงสุด
-เสริมที่มั่น สร้างที่กำบัง ลำเลียงกับระเบิดเข้าที่กำบัง
-สั่งทหารหน้าแนวห้ามเปิดอินเทอร์เน็ต ห้ามถ่ายรูปโพสต์สื่อ
-มีคำสั่งเรียกกำลังพลกลับประจำที่ตั้งทุกหน่วย โดยเฉพาะด้านตรงข้ามช่องบก
8 ธันวาคม: เปิดแนวรบหลายจุดพร้อมกัน
05.05-06.30 น.: ช่องอานม้าเกิดการปะทะหนัก
05.05 น.: กัมพูชายิงปืนเล็กยาวใส่พื้นที่ ตชด.793 ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
05.11-05.36 น.: เกิดการยิงด้วยปืนเล็ก-ปืนกลตอบโต้กันต่อเนื่อง ฐานเจนศึก และฐานอื่นๆ ฝั่งไทยยิงตอบโต้ตามหลักการป้องกันตัว
05.21 น.: ตรวจพบโดรน 2 ลำจากฝั่งกัมพูชา
06.00-06.17 น.: กัมพูชายิงปืนเล็ก-ปืน ค. ใส่ฐานไทยหลายแห่ง ฝ่ายไทยใช้ ค.60 ตอบโต้
07.00 น.: ช่องบกทหารเสียชีวิตนายแรกของไทย ประมาณ 07.00 น. รายงานว่า ฐานป้องไพร ช่องบก อ.น้ำยืน ถูกอาวุธยิงสนับสนุนโจมตี ทำให้ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต เสียชีวิต กำลังพลบาดเจ็บหลายรายจากสะเก็ดระเบิดและแรงอัด
07.10 น.: F-16 ขึ้นโจมตีเป้าหมายทหารกัมพูชา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ระบุว่า ฝ่ายไทยเริ่มใช้อากาศยานโจมตีเป้าหมายอาวุธสนับสนุนของกัมพูชา บริเวณช่องอานม้า
-กองทัพอากาศใช้เครื่องบิน F-16 สนับสนุนภาคพื้น เป้าหมายหลักคือ
1.ฐานยิงปืนใหญ่และอาวุธยิงสนับสนุน
2.พื้นที่ปราสาทคนา
3 เสาวิทยุใกล้เขาพระวิหาร
ต่อมาเพจกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่ากระเช้าเนิน 350 ใกล้ปราสาทตาควาย ถูกทำลายเมื่อเวลา 09.20 น.
สองวัน: ยอดสูญเสีย และภาพรวมการรบ
ยอดกำลังพลไทย เสียชีวิต-บาดเจ็บใน 48 ชม.
-กองทัพบกสรุปตัวเลขล่าสุดช่วงเย็น 8 ธันวาคม เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บรวม 18 นาย จากทั้งกองทัพภาคที่ 1 และ 2
- 7 ธันวาคม บาดเจ็บ 2 นาย (เหตุภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน)
- 8 ธันวาคม เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บเพิ่มในหลายฐาน ทั้งช่องบก ช่องอานม้า เนิน 527 ปราสาทตาเมือนธม พระร่วง ปราสาทคนา และแนวรบฝั่งกองทัพภาคที่ 1 บริเวณ อ.ตาพระยา-หนองหญ้าแก้ว
ฝ่ายไทยยืนยันว่าการใช้กำลังทุกครั้งอยู่ในกรอบกฎการใช้กำลัง และหลักสากล เน้นเป้าหมายทางทหาร เช่น ฐานยิงอาวุธสนับสนุนและจุดบัญชาการ
ประชาชนกลางสมรภูมิ: อพยพ-ปิดโรงเรีย-โรงพยาบาลหยุดให้บริการ
ศูนย์พักพิง 4 จังหวัดชายแดนตะวันออก รองรับกว่า 2.6 แสนคน
กองทัพภาคที่ 2 และผู้ว่าฯ ร่วมเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวครอบคลุม 4 จังหวัดชายแดนตะวันออก
อุบลราชธาน 95 ศูนย์ รองรับประมาณ 67,900 คน
สุรินทร์ 109 ศูนย์ รองรับประมาณ 110,000 คน
บุรีรัมย์ 2 ศูนย์ใหญ่ รองรับประมาณ 90,000 คน
ศรีสะเกษ 101 ศูนย์ รองรับประมาณ 91,000 คน
ทุกศูนย์มีการจัดอาหาร น้ำดื่ม การแพทย์ และการดูแลทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยงของประชาชน
สระแก้ว-ตราด: แนวหน้าฝั่งกองทัพภาคที่ 1
–กกล.บูรพา รายงานการอพยพประชาชนใน 4 อำเภอ จ.สระแก้ว (ตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ คลองหาด) สัดส่วนอพยพแล้วโดยรวมราวกว่า 50% ของประชาชนในพื้นที่
-17.46 น. จ.ตราดสั่งอพยพประชาชนพื้นที่เสี่ยง 3 อำเภอ ไปศูนย์พักพิง
-ตำรวจระดมกำลัง 400 นาย ตรวจความพร้อมอาวุธ-ยานพาหนะ รองรับแผน ‘พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง’
โรงเรียน–โรงพยาบาลหยุดให้บริการบางส่วน
–กระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดชั่วคราว โรงเรียน 641 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดน สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สระแก้ว เพื่อความปลอดภัยของเด็กและครู
-โรงพยาบาลกันทรลักษ์ ประกาศงดให้บริการทุกกรณีชั่วคราว ขอให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไปรพ.อื่น จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ไทย-กัมพูชาแลกหมัดบนเวทีข้อมูลข่าวสาร
ฝั่งไทย: “ถูกโจมตีก่อน-ป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ”
-พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ยืนยันเหตุ 7 ธ.ค. ที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน กัมพูชายิงก่อนและยั่วยุมาโดยตลอด
-กระทรวงกลาโหมไทยออกแถลงการณ์ประณามการเปิดฉากยิงของกัมพูชา ระบุว่าไทยยิงตอบโต้ “ตามขั้นตอนกฎการใช้กำลัง และหลักสากลอย่างได้สัดส่วน”
-กองทัพบกและกองทัพไทยเชื่อมเหตุปะทะครั้งนี้กับกรณีทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ถูกวางใหม่ในเขตไทย ซึ่งไทยเพิ่งเปิดหลักฐานต่อที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวาที่เจนีวา ชี้ว่าเป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้กัมพูชาเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก
-กระทรวงการต่างประเทศจัดบรีฟเอกอัครราชทูต 58 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ ย้ำ 5 ประเด็นหลักว่า
- กัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์เดิม: รุกราน-ปฏิเสธ-กล่าวหาไทย
- ไทยจำเป็นต้องใช้กำลังทางทหารจนถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตย
- สังคมไทย “หมดความอดทน” ต่อการยั่วยุซ้ำๆ
- ปฏิบัติการทหารไทยจะเดินหน้าจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนจุดยืน
- กัมพูชาคือฝ่ายเหยียบย่ำ Joint Declaration กัวลาลัมเปอร
ฝั่งกัมพูชา: “ไทยเปิดฉากก่อน-เราอดทนและยึดสันติภาพ”
–กระทรวงกลาโหมกัมพูชา โดย พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา แถลงว่าฝ่ายไทยยิงก่อน ทั้งเมื่อ 7 ธันวาคม (พื้นที่พลาญธม/Prorlean Thmar) และ 8 ธันวาคม (พื้นที่ An Ses-ปราสาทตาเมือนธม-รอบเขาพระวิหาร) อ้างว่ากัมพูชาไม่ได้ยิงตอบโต้ และได้แจ้งให้ AOT สืบสวน
-แถลงการณ์กัมพูชาประณามไทยว่าโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และละเมิด Joint Declaration ที่ลงนามเมื่อ ต.ค. 2025 โดยมีโดนัลด์ ทรัมป์ และอันวาร์ อิบราฮิม เป็นสักขีพยาน
-ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา โพสต์ให้กำลังใจกองทัพแนวหน้า ให้อดทนต่อการยั่วยุพร้อมเผยแพร่ภาพเก่า อนุทิน-ผู้ว่าฯ ไพลิน เพื่อโจมตีเชิงการเมือง
-ฝ่ายไทยตอบโต้ผ่านโฆษกรัฐบาล ระบุว่าการใช้ภาพเก่าเช่นนี้เป็นวิธีแบบสแกมเมอร์ และย้ำว่าอธิปไตยไทยไม่อาจต่อรองด้วยมิตรภาพส่วนตัว
ประเทศไทย vs การเมืองไทย
นายกฯ อนุทิน: ไฟเขียว ปฏิบัติการทหารเต็มรูปแบบทุกกรณี
–เช้ามืด 8 ธันวาคม นายกฯ ยกเลิกลงพื้นที่ชายแดน เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงด่วนที่ทำเนียบ
-12.00 น. แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ยืนยันว่า
- ไทยใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ
- รัฐบาลไฟเขียวกองทัพปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ ทุกกรณีตามเงื่อนไขสถานการณ์
- จะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย และจะรายงานความจริงต่อสาธารณะ-ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง
ต่อคำถามสื่อ นายกฯ ระบุว่า
- “คงไม่มีการเจรจาแล้ว” หากจะหยุดยิง กัมพูชา “ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด”
- ไม่กังวลผลกระทบต่อการเจรจาการค้า-ภาษี และยังไม่หารือกับทรัมป์หรืออันวาร์
ผบ.ทบ.-เสนาธิการทบ.: เป้าหมายลดขีดความสามารถทางทหารกัมพูชา
- พล.ต.วินธัย ย้ำว่าการใช้ F-16 และอาวุธอื่นมุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหารที่เกี่ยวข้องกับระบบยิงสนับสนุนและโดรนของกัมพูชาเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อพลเรือน
- พล.อ.ชัยพฤกษ์ เสนาธิการทบ. ระบุชัดว่า เป้าหมายคือทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานเรา พร้อมลงพื้นที่ให้กำลังใจทหารแนวหน้า
เสียงจากการเมืองไทยและต่างประเทศ
นักการเมืองหลายพรรคทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน เช่น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, พรรคประชาธิปัตย์ ต่างออกแถลงการณ์
- สนับสนุนสิทธิการป้องกันตนเองของไทย
- เรียกร้องให้เสริมบทบาทการทูตและสงครามข้อมูล เพื่อไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบบนเวทีโลก
- อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แสดงความกังวลอย่างยิ่ง เรียกร้องให้สองฝ่ายใช้ความอดกลั้นสูงสุด ยุติการสู้รบและกลับสู่โต๊ะการทูต
มุมมองนักวิชาการ: วังวนเดิม ขาด ‘คนกลาง’ ที่น่าเชื่อถือ
ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ มองว่าเหตุปะทะครั้งนี้สะท้อนความล้มเหลวของกลไก ASEAN Observer Team (AOT) ซึ่งถูกออกแบบมาเป็น ‘คนกลาง’ หลังข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ แต่ไทยระงับการปฏิบัติตามหลังเหตุทุ่นระเบิดเมื่อ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ไม่มีประจักษ์พยานที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสอง
ฝ่ายข้อเสนอคือ ทั้งสองประเทศควรย้อนกลับไปใช้ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ยอมรับความจริงว่าไม่มีฝ่ายใดชนะขาด ทางทหารได้ และพื้นที่ชายแดน-เศรษฐกิจระยะยาวจะเป็นผู้รับผลกระทบที่แท้จริง
เดิมพันจากนี้: จะหยุดแค่ 48 ชั่วโมง หรือจุดเริ่มต้นของความยืดเยื้อ
ในเวลาเพียง 2 วัน จากการยิงด้วยปืนเล็กที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน นำไปสู่
- การใช้จรวดหลายลำกล้อง รถถัง T-55
- การโจมตีด้วย F-16 ต่อเป้าหมายทางทหารในกัมพูชา
- การอพยพประชาชนจำนวนมหาศาลทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา
- การปิดโรงเรียน โรงพยาบาล และแผนป้องกันสนามบิน โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
ขณะเดียวกัน สงครามคำพูด ข้อมูลข่าวสารยังดำเนินไปพร้อมกับกระสุนจริง ทั้งการประณาม การปล่อยภาพ คลิป คำถามใหญ่จึงไม่ใช่แค่ใครยิงก่อน แต่คือความจริงในสนามรบครั้งนี้คืออะไร
ตราบใดที่คำตอบยังไม่ชัดเจน เสียงปืนที่แนวชายแดน และความหวาดกลัวของประชาชนสองฝั่งพรมแดน ก็อาจยังไม่จบลงในเวลาอันใกล้นี้


