วันนี้ (13 กรกฎาคม) ที่รัฐสภา ชาดา ไทยเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขต จังหวัดอุทัยธานี ขึ้นอภิปรายก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นคนแรก ถึงแถลงการณ์จุดยืนของพรรคภูมิใจไทยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ว่า ไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่สนับสนุนการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมทั้งเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาล และขอเรียกร้องพรรคร่วมรัฐบาลร่วมแสดงจุดยืนเรื่องมาตรา 112 ด้วย
ชาดาได้อภิปราย แต่ในทางกลับกัน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนเดียวที่ยืนยันว่าจะแก้ไขมาตรา 112 โดยให้ ส.ส. ของพรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายเอง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศและต่างประเทศ มีความชัดเจนกับประชาชนและเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ต้องการผลักดัน
ชาดากล่าวอีกว่า พิธาอ้างว่าต้องทำเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยเจตนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ตนเองและพรรคภูมิใจไทยไม่เชื่อ และเป็นสิทธิของพรรคภูมิใจไทยที่ขอไม่เชื่อ เนื่องจากพฤติกรรมมีความชัดเจนมาโดยตลอด พร้อมตั้งข้อคำถามไปถึง 7 พรรคร่วมรัฐบาลว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
“ท่านอ้าง 14 ล้านเสียงเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้คนที่ลงคะแนนให้ท่าน ในมุมมองของผมนั้น และฝากไปถึงบุคคลที่กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้านเสียง แต่ท่านต้องเป็นนายกฯ ของคน 60 ล้านคน ต้องเป็นนายกฯ ของประเทศไทย และไม่ได้เป็นนายกฯ ของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง” ชาดากล่าว
ชาดากล่าวยืนยันว่า พรรคการเมืองที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ พรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะเป็นฝ่ายตรวจสอบและจะคัดค้านการแก้มาตรา 112 เต็มที่ และจะไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแข่ง เพราะเคารพในมติของประชาชน พร้อมย้ำว่าเจตนาของพรรคก้าวไกลไม่ใช่เพียงการแก้ไข แต่คือการยกเลิกมาตรา 112
“มีคำพูดต่อผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกลว่า ถ้าพิธาเป็นนายกฯ จะให้ไปลงสัตยาบันในกฎหมายกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่ให้สามารถฟ้องประมุขของรัฐได้ อันนี้รับไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ท่านเป็นนายกฯ ไปลงนาม หมายความว่าให้คนนอกประเทศไปฟ้องพระมหากษัตริย์ได้ ผมคงทำใจไม่ได้ ลองคิดดูว่ากษัตริย์สูงสุดที่คุ้มกะลาหัวพวกเราไปถูกฝรั่งมังค่าสอบสวน ผมคงทำใจไม่ได้
“เราก็ยังหวังลึกๆ แต่ท่านไม่ยอมอะไรเลย ท่านจะต้องถือ 112 ไว้ในกระเป๋า วันนี้ท่านไม่ต้องไปชี้ที่ ส.ว. ชี้ที่ตัวท่านเอง ท่านหลุดมาคำเดียวว่าไม่ยุ่งกับ 112 พรรคภูมิใจไทยจะยกมือให้ท่าน และไม่ร่วมรัฐบาลกับท่านด้วย”
ชาดากล่าวอีกว่า เขาบอกฝั่งนั้นเป็นฝั่งประชาธิปไตย แล้วพวกผมมาจากไหน ผมก็เดินหาเสียง กลัวสอบตกเหมือนกันกับท่าน ไม่ใช่ว่าลุงตู่ (พล.อ. ประยุทธ์) หรือ คสช. แต่งตั้งผมมา ผมก็เลือกตั้งมาเหมือนกัน ไม่ใช่ฝั่งประชาธิปไตยเป็นฝั่งโจรเหรอ เป็นโจรก็ยอม เป็นโจรที่รักชาติ สถาบัน ปกป้องบ้านเมืองนี้ด้วยเลือดเนื้อของผม
“วันนี้เราอยู่ได้ด้วยสถาบันกษัตริย์ที่ปกปักษ์รักษาเรามา อย่าให้ผมไปคิดเลยว่าก้าวไกล อนาคตใหม่ เกิดมาเพื่อล้มล้างหรือเปล่า วันนี้ท่านยืนเด่นชนทุกคนที่ขวาง นี่ไม่ใช่บุคลิกของคนบริหารประเทศ” ชาดากล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้สิทธิพาดพิงเพื่อชี้แจงว่า ตนพยายามฟังมากกว่าพูด และรักษาคำพูดเหมือนสโลแกนของพรรคภูมิใจไทยที่บอกว่า ‘พูดแล้วทำ’ ซึ่งทั้งตนและชาดามีความคิดเห็นคนละแบบจึงต้องใช้เวทีสภามาพูดคุย เวทีนี้เป็นเวทีนายกรัฐมนตรีไม่ใช่การแก้ไขปัญหาใดๆ ซึ่งผู้นำต้องมีความอดทนอดกลั้น เป็นคุณลักษณะที่ผู้นำไทยต้องมี