หลังจากที่ Dior ปิดร้านสาขาสำคัญอย่าง 30 Montaigne ที่กรุงปารีสไปเมื่อปี 2019 เพื่อปรับปรุงครั้งใหญ่ แล้วไปเปิดสาขาแฟลกชิปชั่วคราวที่ถนนฌ็องเซลิเซ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่สาขาบ้านเกิดของแบรนด์แห่งนี้กลับมาเปิดประตูให้ลูกค้าได้เข้าไปสู่โลกของ Christian Dior อีกครั้งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ถึง 10,000 ตารางเมตรกับอาคารทรงนีโอคลาสสิกความสูง 5 ชั้นจากปลายศตวรรษที่ 19 ทางแบรนด์ได้ร่วมงานกับสถาปนิกชาวอเมริกันอย่าง Peter Marino มารับหน้าที่แปลงโฉมภายในอาคารแห่งนี้ ให้เป็นทั้งร้านค้า,ห้องเสื้อสำหรับลูกค้ากูตูร์, ร้านอาหารของเชฟผู้ชนะรายการ Top Chef เวอร์ชันฝรั่งเศส, Dior Cafe, สวนดอกไม้ และห้องพักสวีทสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
ส่วนแรกเราจะได้พบกับร้านค้าบูติกขนาดใหญ่ถึง 2,000 ตารางเมตร ที่เต็มไปด้วยสินค้ากระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เครื่องประดับ รวมไปถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ ของตกแต่งบ้าน และแผนกน้ำหอมกับบิวตี้ให้ช้อปปิ้งอย่างจุใจ
นอกจากนี้เพื่อให้แขกที่เข้ามาในร้านได้สัมผัสถึงผลงานเก่าๆ ที่ทางแบรนด์ได้ค้นคลังอาร์ไคฟ์มาจัดแสดงเป็นแกลเลอรีที่เต็มไปด้วยผลงานต้นฉบับของ ทั้ง Christian Dior, Yves Saint Laurent, Marc Bohan, Gianfranco Ferré, John Galliano, Raf Simons, และ Maria Grazia Chiuri ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ฝั่งเสื้อผ้าผู้หญิงคนปัจจุบัน
ร้านเลขที่ 30 Montaigne ถือว่ามีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของแบรนด์อย่างมาก โดยเป็นร้านแห่งแรกที่ Christian Dior มาเปิดตั้งแต่ปี 1946 และนำเสนอคอลเล็กชันกูตูร์อันเลื่องชื่อเมื่อปี 1947 พร้อมกับเปิดตัว ‘New Look’ ที่นี่ แถมตัวอาคารยังมีความสำคัญกับกรุงปารีส เนื่องจากถูกสร้างโดยลูกชายของจักรพรรดินโปเลียนเมื่อปี 1865 อีกด้วย
ภาพ: Kristen Pelou, Dior
