ในยามที่ตลาดผันผวน นักลงทุนมักมองหา ‘ความปลอดภัย’ ไปพร้อมกับการหลีกเลี่ยง ‘ความเสี่ยง’
แต่เมื่อความปลอดภัยหาไม่ได้แม้จากสินทรัพย์สุดขอบอย่าง ‘เงินสด’ ทั่วโลกจึงพุ่งเป้าไปที่การหลีกเลี่ยงฝั่งตรงข้ามของความปลอดภัยอย่าง Thematic Growth เป็นเป้าแรก
ยิ่งช่วงที่ผ่านมาธีมลงทุนแห่งอนาคตเหล่านี้กำลังอยู่ในภาวะลำบาก ผลตอบแทนร่วงลงหนัก คำแนะนำให้ ‘หลีกเลี่ยง’ จึงคิดได้ไม่ยากและมีข้อมูลรองรับ
อย่างไรก็ดี แม้ Thematic Growth อาจเสี่ยงสูงและไม่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่สำหรับ Thematic Investor ที่มักมีคติประจำใจว่า ‘จงกล้าในเวลาที่ทุกคนกลัว’ เวลานี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเก็งกำไรระยะสั้น หรือสะสมการลงทุนในระยะยาว
การเปรียบเทียบ Risk/Reward, ประเมิน Outlook, และเลือกกลยุทธ์ลงทุน จึงเป็นสิ่งที่ควรตั้งคำถามและหาคำตอบสำหรับการลงทุนแห่งอนาคตเหล่านี้
-
การปรับฐานรอบล่าสุดทำให้การลงทุนสไตล์ Growth กลายเป็นของถูกแล้วหรือไม่
คำตอบคือ ถูกลงแต่ยังไม่ถือว่าถูก
แม้การปรับฐานที่ผ่านมาจะทำให้ธีม Growth โดยเฉลี่ยปรับตัวลงกว่า 25% แต่ส่วนใหญ่เกิดในจุดที่ Valuation ‘สูงมาก’ ลดลงมาอยู่ในระดับ ‘สูง’
ผมนำผลตอบแทนบน MSCI Thematic Index ต่างๆ หักด้วยคาดการณ์การขยายตัวของรายได้ใน 12 เดือนข้างหน้า
พบว่าธีม Innovation, Fintech และ Metaverse คือกลุ่มที่ปรับฐานจาก Multiple Contraction มากที่สุดราว 35-40% ขณะที่ธีม Space Exploration, Clean Energy, หรือ Aging Society กลับย่อตัวลงเพียง 7-15% ความแตกต่างของสองกลุ่มนี้ไม่ใช่โอกาสการเติบโตในอนาคต แต่เป็น Valuation ก่อนปรับฐาน
กลุ่มแรกซื้อขายกันที่ Long Term P/E (LTP/E) 60-80 เท่า ขณะที่กลุ่มหลังซื้อขายกันที่ LTP/E 25-30 เท่าก่อนปรับฐาน ปัจจุบันทั้งหมดลงมาซื้อขายเฉลี่ย LTP/E 35 เท่า ยังแพงกว่า 30 เท่าของ S&P 500 ราว 15%
หมายความว่า การปรับฐานอย่างหนักของ Thematic Growth แค่ทำให้ ‘ความแพงมาก’ หายไป ขณะที่ความเสี่ยงและระดับราคายังถือว่าสูงกว่าตลาด
-
การเติบโตของธีมลงทุนเหล่านี้ยังเป็น Hyper Growth หรือไม่
คำตอบคือ ใช่ แต่จังหวะการเติบโตต่างกันในแต่ละธีม
ผมวิเคราะห์ Growth Outlook ด้วยคาดการณ์รายได้เฉลี่ยในอีก 3 ปีข้างหน้าจาก Bloomberg Consensus พบว่าตลาดยังเชื่อว่า Thematic Growth จะมีรายได้เติบโตโดยเฉลี่ยราว 15% ต่อปี หรือกว่า 2 เท่าค่าเฉลี่ยของหุ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ธีมเติบโตเหล่านี้ไม่ได้เร่งตัวในจังหวะเดียวกันทั้งหมด เช่น กลุ่มพลังงานอย่าง Renewable หรือ Clean Energy เป็นธีมที่ตลาดมองว่ารายได้จะขยายตัวสูงที่สุด 25-40% ในปีแรก หลังจากนั้นการเติบโตจะชะลอตัว
กลุ่ม 2 คือธีมใช้เทคโนโลยีเสริมธุรกิจหลัก เช่น Fintech และ Sharing Economy รายได้จะเติบโต 15-20% ต่อปี แม้จะไม่ได้สูงมาก แต่จะคงที่ที่สุดในช่วง 3 ปีข้างหน้า
กลุ่มที่ 3 คือ Innovation ตั้งเป้าหมายสร้างตลาดใหม่ เช่น Genomic และ Metaverse การเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดดจะอยู่ในช่วงปีสุดท้ายเป็นหลัก
ถึงจุดนี้ นักลงทุนคงเห็นพ้องกันแล้วว่าการลงทุนในธีมอนาคตต่อจากนี้อาจไม่ง่าย เราไม่สามารถ ‘หว่านแห’ ลงทุนไปในทุกธีมแล้วหวังว่าทั้งหมดจะกลับมาได้ในจังหวะที่เราคาดหวัง จึงมาถึงคำถามสุดท้าย
-
เราควรมีกลยุทธ์ในการลงทุน Thematic Growth เหล่านี้อย่างไร
จากคำตอบสองข้อแรก ย้ำกันอีกครั้งว่าต้องเลือกธีมให้ ‘ถูก’ คือไม่แพง ‘ถูกจังหวะ’ คือเติบโตในจังหวะเหมาะสมกับความคาดหวัง
สำหรับกลยุทธ์ ผมแนะนำจับตาตัวแปรตลาดสำหรับ 3 ช่วงเวลา เพื่อให้เราใช้เงินอย่าง ‘ถูกวัตถุประสงค์’ คือรู้ว่าเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่
ระยะสั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ Relative Valuation
เพราะการปรับฐานล่าสุดสะท้อนภาพการเปลี่ยนมุมมองบน Valuation ที่ชัดเจน เราจึงควรใช้กลยุทธ์เปรียบเทียบความถูกแพงของธีมกับตลาดก่อน ผมแนะนำจับตา ‘ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี’
ขั้นแรก ควรเลือกเฉพาะธีมที่ Earning Yield (ส่วนกลับของ LTP/E) สูงกว่าบอนด์ยีลด์ก่อน จากนั้นจังหวะที่ลงทุนได้ควรเป็นช่วงที่ยีลด์หยุดขึ้น หรือดีที่สุดคือกลับเป็นขาลงอย่างมีเหตุผล และวัตถุประสงค์หลักควรเป็นการถือสั้นเน้นรีบาวด์
ระยะกลาง สิ่งสำคัญคือแนวโน้มระหว่างธีม Growth และ Value
ช่วงที่โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงและนโยบายการเงินไม่แน่นอน เราต้องประเมินก่อนว่าตลาดต้องการรักษาความมั่งคั่ง (Value) หรือเติบโต (Growth)
ผมแนะนำจับตา ‘S&P 500 Growth Value Rotator Index’ ในมุมมองของผม ถ้ายังไม่เห็นการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ชัดเจนของธีม Growth นักลงทุนควรกำหนดสัดส่วนการลงทุนไว้ในกรอบ 10-20% ของพอร์ต เพื่อให้เราเพิ่มการลงทุนในจังหวะปรับฐานและขายทำกำไรบนจังหวะการฟื้นตัว
ส่วนระยะยาว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Growth at a Reasonable Price
ตัวแปรที่ต้องถามหาจาก ‘ทุกธีม’ คือ Expected Growth และ Valuation จะเป็น Growth ช่วงเวลาไหน หรือ P/E ตัวไหนก็ได้แล้วแต่ถนัด
ส่วนตัวผมมักใช้ LTP/E เทียบกับคาดการณ์การเติบโตในอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้าของแต่ละธีม ปัจจุบันพบว่ามีเพียง Future Mobility และธีม Renewable Energy ที่ LTP/E ต่อ Average Expected Annual Growth อยู่ในระดับราคาที่คุ้มค่า
หมายความว่าธีมส่วนใหญ่ยังไม่ได้อยู่ในจังหวะที่เหมาะจะลงทุนระยะยาว ‘ทยอยสะสม’ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าสำหรับใครก็ตามที่สนใจธีม Thematic Growth ในระยะยาว
โดยสรุป ผมมองว่า Thematic Growth ไม่ถึงขั้นต้องหลีกเลี่ยง และยังมีโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจ เพียงแต่เราต้องเลือกธีมให้ถูก ถูกจังหวะ และถูกวัตถุประสงค์ครับ