×

‘3 เหตุผล’ หุ้น AI ยังไม่ใกล้ ฟองสบู่แตก KAsset มองธุรกิจทำกำไรได้

07.10.2025
  • LOADING...
‘3 เหตุผล’ หุ้น AI ยังไม่ใกล้ ฟองสบู่แตก KAsset มองธุรกิจทำกำไรได้

วันนี้(7 ตุลาคม 2568) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (KAsset) จับมือ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) จัดงานสัมนาการลงทุนประจำปี Know the market summit 2025 ในหัวข้อ Core Stability Amidst Market Volatility โดยมีผู้เชี่ยวชาญ ด้านการลงทุนทั้งสองฝ่าย มาอัปเดตแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ วิเคราะห์โอกาส และความเสี่ยงการลงทุนในปี 2026 รวมถึงเผยกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทน ช่วงตลาดรองผันผวนสูงดังนี้ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

 

3 สาเหตุ ที่หุ้น AI ยังไม่เป็นฟองสบู่

 

มทินา วัชรวราทร, CFA, Head of Investment Management Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ให้มุมมองต่อนักลงทุน ในประเด็นหุ้น AI มูลค่าแพงไปหรือยัง โดยอธิบายถึง 2 สาเหตุที่ทำให้หุ้น AI ยังไม่มีแนวโน้มฟองสบู่แตกในเร็วๆ นี้

 

1. มูลค่าตลาดยังไม่สูงเท่าตอนยุค Dot-com

 

โดยมูลค่าของบริษัทเทคโนโลยีในยุคฟองสบู่ดอทคอม อยู่ที่ประมาณ 70-80 เท่า ของมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐปัจจุบัน

 

2. บริษัท AI มีกำไร และ Use case จริง

 

โดยบริษัท AI ในปัจจุบันมีเงินลงทุนหลักจาก กลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐ (Big tech) สามารถทำกำไรได้จริง จาก Use case ในกลุ่มผู้ใช้งานระดับต่างๆ แตกต่างจากยุคฟองสบู่ดอทคอม ที่บริษัทเทคโนโลยีในตอนนั้น ยังไม่สามารถทำกำไรได้จากโมเดลธุรกิจ และมีเงินลงทุนดำเนินกิจการจากการระดมทุนผ่าน Venture capital เป็นหลัก

 

3. ธุรกิจมีแนวโน้มปรับใช้ AI แบบก้าวกระโดด

 

จากผลสำรวจบริษัทในสหรัฐ 500 บริษัท มีเพียง 10% ที่นำ AI มาปรับใช้ ซึ่งตอนนี้หลายๆ บริษัทกำลังเริ่มหันมาสนใจใช้ AI เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ KAsset คาดว่าในปี 2026 บริษัทในสหรัฐจะปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ เพิ่มขึ้นเป็น 15%-20% และอัตราการใช้งาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 

โดยสรุป KAsset มองว่า มูลค่าของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI มีบางบริษัทที่มูลสูงเกินจริงแล้ว แต่ก็ยังมีบางบริษัทที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เช่น บริษัทในกลุ่ม Data center และ Semiconductor

 

กลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน อยู่รอดในปี 2026

 

Raisah Rasid Global Market Strategist, J.P. MORGAN Asset Management เปิดเผยกลยุทธ์การปรับพอร์ตการลงทุนสร้างผล รองรับความผันผวนในปี 2026 ไว้ 2 ข้อ ดังนี้

 

1. ลงทุนอย่างต่อเนื่อง

 

ในระยะข้างหน้าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้ม ลดดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนจากการถือเงินสดไว้เฉยๆ ลดลง เช่นเดียวกับการลงทุนซ้ำ (Reinvestment) ผลการศึกษาพบว่า การลงทุนระยะยาว ไม่เข้าๆ ออกๆ แม้เจอความเสี่ยงจากตลาดผันผวน จะทำให้ผลตอบแทนภาพรวมดีกว่า ดังนั้น ควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นและตราสารหนี้

 

2. ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง

 

ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เกิดช็อค จากปัจจัยความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อดูผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ปี 1999 พบว่า การจัดพอร์ตการลงทุน โดยแบ่งสัดส่วนเป็น 60/40 ให้น้ำหนัก 60% กับตราสารหนี้ และ 40% กับหุ้น จะช่วยลดผลตอบแทนขาดทุนสะสม (Drawdown) และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการถือเงินสด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน

 

สำหรับหุ้น ควรกระจายการลงทุนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากได้รับผลกระทบ การดำเนินนโยบายของทรัมป์ และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น โดยเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ล้อไปกับ mega trend เช่น AI จีน

 

ด้านตราสารหนี้ จะช่วยลดการขาดทุนของพอร์ตได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น และให้ผลตอบแทนคงที่ สม่ำเสมอในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง

 

ภาพ: Koshiro K / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising