ผู้บริหารโบรกเกอร์ใหญ่ ทั้ง บล.เกียรตินาคินภัทร, บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส, บล.ทิสโก้ และ Jefferies ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 รายล่าสุด พากันประสานเสียง หากอยากดึงนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย การเมืองต้องมีเสถียรภาพ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชัด และต้องพับแผนภาษีขายหุ้น
ศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง และถือหุ้นไทยอยู่ในสัดส่วนไม่มาก แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจและรอจังหวะเข้าซื้อตลาดหุ้นไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หวังการเมืองนิ่งดึงฟันด์โฟลวไหลกลับตลาดเงินตลาดทุนไทย กูรูลุ้นสิ้นปีนี้พลิกกลับเป็น ‘ซื้อสุทธิ’
- หุ้นไทยเนื้อหอม กองทุนต่างชาติตบเท้าร่วมงาน Thailand Focus 2023 เพิ่มเป็น 95 แห่ง
- กอบศักดิ์ชี้ นายกฯ มาจากภาคเอกชนเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย เชื่อเศรษฐานำพาประเทศไปได้อีกระดับ
ประกอบกับปัจจัยการเมืองของไทยมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีและมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มตอบรับในเชิงบวกไปบ้างแล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติยังรอติดตามความคืบหน้าต่อไปถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ดี ประเมินว่ารูปแบบของนักลงทุนต่างชาติจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยลงทุนในดัชนี แต่จะเปลี่ยนเป็นการลงทุนแบบเลือก (Selective) ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่จะออกมา ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีและราคาหุ้นยังค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต คือ กลุ่มโรงแรม โรงพยาบาล และค้าปลีก
รัฐบาลต้องพับแผนเก็บภาษีขายหุ้น
นริศรา วิเศษโกสิน Head of Thailand Institutional Business บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 เป็นครั้งแรก กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าที่เป็นนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและกังวลประเด็นทางการเมืองของไทย โดยปัจจุบันได้มีความชัดเจนมากขึ้นในเชิงบวก หลังการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว
ทั้งนี้ มองว่าจุดเปลี่ยนที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจและกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะมีการกระตุ้นและเป็นประโยชน์ต่อภาคการลงทุนมากหรือน้อยอย่างไร
นอกจากนี้ยังมองว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) เพราะจะมีผลกระทบให้ความสามารถการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยลดลง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศในภูมิภาค และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยประเด็นดังกล่าวจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ
ด้าน ฐาปน พานิช รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ ร่วมด้วย Jefferies ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 เป็นครั้งแรก กล่าวว่า ความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน นักลงทุนต่างชาติต่างติดตามความคืบหน้าระยะถัดไปหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นว่า ความร่วมมือในการทำงานของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์ จะประสานการทำงานด้านการเมืองกับทีมรัฐบาลอย่างไร และรัฐบาลที่มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 14 พรรค จะมีเสถียรภาพมากหรือน้อยอย่างไรในการบริหารประเทศ
นอกจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์การลงทุนของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียที่ค่อนข้างได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ และสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้ที่ผ่านมามีฟันด์โฟลวไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่หาก Valuation ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับสูงและตลาดหุ้นเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ประเมินว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลวจะโยกย้ายเข้ามายังตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ รายงานข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2023 ถึงปัจจุบัน (YTD) กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Non-Resident Net Flows) ไหลออกตลาดตราสารหนี้ไทยสุทธิ 1.11 แสนล้านบาท ขณะที่ตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ระบุว่า ฟันด์โฟลวขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1.31 แสนล้านบาท รวมเป็น 2.42 แสนล้านบาท