ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งทางของปี 2024 ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นโลกมาในครึ่งปีแรก โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐอเมริกา อินเดีย และญี่ปุ่น รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำและน้ำมันด้วยครับ (อ้างอิงจากผลตอบแทน YTD) ในขณะที่ผู้พ่ายแพ้ในสนามการลงทุนครึ่งปีแรกหนีไม่พ้นตราสารหนี้ทั่วโลกและตลาดหุ้นไทย
ภาพรวมการลงทุนในอีกครึ่งทางที่เหลือของปี 2024 สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจและสินทรัพย์ทั่วโลกหนีไม่พ้นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเป็นการ Rematch อีกครั้งของ โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์
ในมุมมองของผม ประเด็นสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้คือนโยบายภาษีนิติบุคคล ซึ่งเป็นนโยบายเด่นของ โจ ไบเดน ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% ไปสู่ 28% ประเด็นนี้จะกดดันหุ้นสหรัฐฯ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะที่หากทรัมป์เข้ามาบริหาร ทรัมป์จะคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ที่ 21% ในทางกลับกัน สิ่งที่ทรัมป์เสนอคือการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ 10% และ 60% สำหรับจีน และยังกล่าวอีกว่าจะมองหาผู้มาแทนที่ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นต้นเหตุของการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ผิดพลาดร่วมกันกับ โจ ไบเดน ในช่วงปี 2022
ผลของการเลือกตั้งนั้นสามารถออกมาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Blue Wave, Red Wave หรือรัฐบาลผสม ดังนั้นผมจึงขอนำสถิติย้อนหลังของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในรอบ 5 ครั้งหลังสุดมาให้นักลงทุนได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เหมือนกันของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่ามีอะไรที่คล้ายคลึงกันบ้าง
หากไม่นับปีวิกฤตซับไพรม์ (2008) แทบจะทุกสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นในปีที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ (+12.2%) น้ำมัน (+11.9%) ทองคำ (+11.6%) และหุ้นไทย (+5.4%) ดังเช่นคำกล่าวของนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่า “Election = stimulus… stimulus = landing will be soft, not hard”
มากไปกว่านั้น Fed แทบจะไม่เคยอยู่นิ่งเลยในปีเลือกตั้งสหรัฐฯ หากนับตั้งแต่ปี 1980 Fed มีการปรับ ‘เพิ่ม’ และ ‘ลด’ ดอกเบี้ยทุกครั้ง โดยมีเพียงแค่ปี 2012 ที่ Fed ‘คง’ ดอกเบี้ย
ด้วยสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงมาทรงตัวที่ 3%YoY และ Dot Plot ล่าสุดที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงแค่หนึ่งครั้งในปี 2024
คำถามที่จะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยคือ Fed จะลดดอกเบี้ยในช่วงเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ หรือไม่? สถานการณ์ประจวบเหมาะไปหรือเปล่า?
ดังนั้นใน 2H24 ภาพใหญ่ของการลงทุน ผมคิดว่าสิ่งที่นักลงทุนจะเห็นคือการปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งจาก Fed (หากเกิดขึ้น) และเศรษฐกิจโลกที่อาจจะไม่ได้ถดถอยแรงเพราะการเลือกตั้งจะตามมาด้วยมาตรการหาเสียงและการกระตุ้นเศรษฐกิจเสมอ
คำแนะนำของผมคือ
“ให้ถือหุ้นสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่น ทองคำ และน้ำมัน ต่อใน 2H24 เริ่มทยอยสะสมตราสารหนี้ช่วงปลายไตรมาสที่สาม ส่วนหุ้นไทยนั้นผมเชื่อว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองน่าจะกดดันตลาดไปอีกสองถึงสามเดือน ดังนั้นก็คงต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้าและไปลุ้นกันไตรมาสสุดท้ายของปีเห็นเป็นอันดีที่สุดครับ”
อ้างอิง: Bloomberg / CGSI Quantitative Team