วันนี้ (20 พฤศจิกายน) อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำ APEC จากทุกเขตเศรษฐกิจได้ร่วมรับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC 2022 รวมทั้งได้ร่วมรับรอง ‘เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG’ หรือ ‘Bangkok Goals on BCG Economy’
ในช่วงระหว่างการประชุมฯ และระหว่างการหารือแบบทวิภาคี ผู้นำ APEC ได้กล่าวชื่นชมความริเริ่มที่ประเทศไทยได้นำเสนอแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการประชุมฯ ครั้งนี้ และเชื่อมั่นว่าโมเดลเศรษฐกิจ BCG จะสร้างการเติบโตของประเทศและตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้อีกด้วย
ประเทศไทยได้ริเริ่มโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า ‘โมเดลเศรษฐกิจ BCG’ ตัว B คือ Bioeconomy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ, ตัว C คือ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน และตัว G คือ Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งหวังให้เป็นกลไกยกระดับสถานะของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในประชาคมโลก
ทั้งนี้ โมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทย มีความสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ มากถึง 13 จาก 17 เป้าหมาย
จากการริเริ่มนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศในระยะเวลาประมาณ 2 ปี เริ่มเห็นผลที่เป็นรูปธรรมสอดรับกับเป้าหมายกรุงเทพฯ (Bangkok Goals) ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ที่ประเทศไทยได้มีการนำเสนอในการประชุมผู้นำ APEC ครั้งนี้ โดยรัฐบาลได้ดำเนินการด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้ง 4 เป้าหมาย
- จัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การปลูกป่าโดยเอกชนและประชาชน โดยมีการจัดสรรคาร์บอนเครดิตเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ที่ปลูกป่า บำรุง อนุรักษ์ป่า โดยปี 2565 กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการปลูกป่าเพื่อแบ่งปันคาร์บอนเครดิตร่วมกันจำนวน 4 แสนไร่
การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ มูลค่าและปริมาณการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 จำนวน 124.8 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13 เท่า จากปี 2564) และปริมาณการซื้อ-ขาย 1.16 ล้านตัน ด้วยราคาเฉลี่ย 107.23 บาทต่อตัน
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573
การส่งเสริมการผลิตโปรตีนจากแมลง ซึ่งใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ ตัวอย่างเช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เข้าไปส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงจิ้งหรีดตำบลหนองพระ ซึ่งมีสมาชิก 78 ราย โดยฟาร์มจิ้งหรีดที่ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี สร้างรายได้ครัวเรือนละ 20,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนเป็นอาชีพเสริมให้กลายมาเป็นอาชีพหลัก
- ขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวไปแล้ว 40,319 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 63.1 ของจำนวนโรงงานทั้งหมด อีกทั้งสถาบันการเงินมีโครงการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ BCG รวมกันกว่า 1.5 แสนล้านบาทจนถึงปี 2570 โดยเริ่มมีการปล่อยสินเชื่อแล้วตั้งแต่ปี 2565
- อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมให้ลดใช้สารเคมีในการเกษตรด้วยการส่งเสริมการปลูกพืชด้วยระบบโรงเรือนอัจฉริยะหรือการนำระบบเกษตรแม่นยำ ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 50% คุณภาพของผลผลิตสูงขึ้น ลดปริมาณการใช้สารเคมีเกษตรในการกำจัดแมลงลงได้ร้อยละ 50 และผลกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว
กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สวทช. และหน่วยงานในท้องถิ่น นำ ‘นวัตกรรมไม้โกงกางเทียม’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เลียนแบบรากต้นโกงกางธรรมชาติไปใช้ในพื้นที่สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี 2558
จากการตรวจวัดดินตะกอนที่สะสมหลังแปลงไม้โกงกางเทียมพบว่า ดักตะกอนได้สูงถึง 50 เซนติเมตร ปัจจุบันขยายผลการติดตั้งแปลงไม้โกงกางเทียมในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ พังงา, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชลบุรี และระยอง
- ปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรเพื่อลดขยะให้เป็นศูนย์ ความร่วมมือรัฐและเอกชนภายใต้ชื่อ ‘PPP Plastic’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการดำเนินงานเพื่อลดขยะในกลุ่มพลาสติกหลายพื้นที่
เช่น พื้นที่เทศบาลระยองสามารถลดการหลุดรอดของขยะพลาสติกลงสู่ทะเลได้ถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ชุมชนวังหว้า จังหวัดระยอง ไม่เพียงประสบความสำเร็จในการจัดการขยะ แต่ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000 บาทต่อเดือน
โครงการเศรษฐกิจแพลตฟอร์มขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ผู้นำ BCG ยุคใหม่ (BCG Next Gen) ด้วยการบ่มเพาะผู้ประกอบการและการส่งเสริมการตลาด โดยส่วนหนึ่งเป็นการนำวัสดุที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ในระหว่างเดือนตุลาคม 2564 – มีนาคม 2565 มีผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จำนวน 1,351 ราย สร้างมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 3,795 ล้านบาท
มหาวิทยาลัยทักษิณพัฒนาเทคโนโลยีนำทางปาล์มน้ำมัน (แกนใบ) ที่เหลือทิ้งในเกษตรกรรมในพื้นที่ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มาแปรรูปเป็นบรรจุภัณฑ์กระดาษ ทั้งยังเป็นการสร้างงานให้เกษตรกร พัฒนาท้องถิ่น ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลาสติกได้เป็นจำนวนมาก
“รัฐบาลไทยเชื่อว่าโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไม่เพียงเหมาะสมต่อประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นรูปแบบที่ประเทศสมาชิกในเขตเศรษฐกิจ APEC สามารถนำไปปรับใช้ พัฒนา และต่อยอด ให้เกิดประโยชน์ตามบริบทของประเทศตนเองและต่อโลกได้อีกด้วย” อนุชากล่าว