ฟุตบอลทีมชาติไทยหวนคืนสู่การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย อีกครั้ง โดยเกมนี้เป็นการแข่งขันนัดที่ 4 ของกลุ่ม G ซึ่งไทยจะบุกไปเยือนมาเลเซียที่สนามบูกิต จาลิล สังเวียนอาถรรพ์ที่ไทยยังไม่เคยเก็บชัยชนะที่สนามแห่งนี้ได้เป็นเวลา 15 ปีแล้ว
โดยการเตรียมพร้อมของ อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่น ได้เริ่มต้นตั้งแต่การเปิดมินิแคมป์เรียกนักเตะทีมชาติไทยเข้ามารายงานตัวตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมถึง 4 พฤศจิกายนเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย หลังจากที่ฟุตบอลรายการต่างๆ ภายในประเทศทยอยจบลง
ก่อนที่วันที่ 5 พฤศจิกายน จะประกาศรายชื่อ 24 ผู้เล่นชุดเตรียมออกเดินทางไปเยือนมาเลเซียและต่อด้วยเวียดนามในวันที่ 14 และ 19 พฤศจิกายนตามลำดับ โดยสาเหตุที่เรียก 24 รายชื่อเนื่องจาก ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายไทย ติดโทษแบน 1 นัด ไม่สามารถลงช่วยทีมได้ในเกมเยือนมาเลเซีย
ซึ่งในวันที่ 8 พฤศจิกายน แข้งไทยก็ตบเท้ากลับเข้าแคมป์ทีมชาติอีกครั้ง และได้ออกเดินทางสู่ประเทศมาเลเซียเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยเกมนี้ 11 ผู้เล่นตัวจริงฝั่งไทยในเวลานี้มีความพร้อมสมบูรณ์ทุกตำแหน่ง จะขาดก็เพียงธีราทรที่ลงสนามในเกมนี้ไม่ได้ เนื่องจากติดโทษแบน
ในตำแหน่งแบ็กซ้าย แม้ว่าเสียงของสื่อมวลชนยังคงแตกเป็นสองฝั่งว่าจะเป็น ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่เล่นได้ทั้งตำแหน่งปีกซ้ายและแบ็กซ้าย หรือจะเป็น กรกช วิริยอุดมศิริ แบ็กซ้ายธรรมชาติจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายนิชิโนะได้ประกาศชื่ออกมาเป็น กรกช วิริยอุดมศิริ
ขณะที่ตำแหน่งกองหลังคาดว่าจะเป็น มานูเอล ทอม เบียรห์ จับคู่กับ เอเลียส ดอเลาะ และทริสตอง โด ในตำแหน่งแบ็กขวา
กองกลางยังคงเป็นคู่ของ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล และสารัช อยู่เย็น ส่วน 3 ประสานในแนวรุก ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักเตะไทยคนล่าสุดที่ยิงประตูในสนามบูกิต จาลิล ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 รอบชิงชนะเลิศ กลับมาลงในตำแหน่งกลางรุก ประสานงานกับ เอกนิษฐ์ ปัญญา ในกราบขวา และสุภโชค สารชาติ ในกราบซ้าย โดยมี ธีรศิลป์ แดงดา ยืนค้ำเป็นหน้าเป้า
ช้างศึกในยุคของ อากิระ นิชิโนะ ดูเหมือนว่าสิ่งที่กลายเป็นความแข็งแกร่งของทีมคือการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทั้งในเกมรับตั้งแต่แดนกลางที่สามารถตัดบอลได้อย่างรวดเร็ว และทั้งทีมเข้าเพรสซิ่งอย่างรวดเร็วหลังจากที่เสียบอล
จากที่ได้มีโอกาสลงไปบันทึกภาพนิ่งในสนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต เกมที่ไทยเอาชนะยูเออีไปได้ 2-1 พบว่ากองหลังของไทยมีความเป็นระเบียบวินัยค่อนข้างสูง ทุกอย่างเป็นระบบมากขึ้น และเชื่อมโยงกับเกมรุกได้อย่างลงตัว
ขณะที่แข้งในเกมรุกทั้งสุภโชค (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รองแชมป์ไทยลีก 2019) และเอกนิษฐ์ (เชียงราย ยูไนเต็ด แชมป์ไทยลีก 2019) ต่างก็เป็นผลผลิตของทีมชาติไทยในยุคของนิชิโนะ และการแข่งขันของไทยลีกที่ลุ้นแชมป์อย่างเข้มข้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
นิชิโนะเน้นย้ำตั้งแต่ช่วงเวลาแรกของการทำงานว่าเขาต้องการให้นักเตะเยาวชนกล้าแสดงออกกับการลงเล่นในนามทีมชาติ ซึ่งนี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในเกมกับยูเออี เมื่อเหล่านักเตะเยาวชนไทยกล้าบุกเข้าใส่ทีมจากตะวันออกกลางที่หลายคนมักมีความเชื่อมาตลอดว่าพวกเขาเหนือกว่าเรา จนสุดท้ายก็คว้าชัยชนะไปได้
มาถึงเกมนี้ด้วยฟอร์มการเล่นกับยูเออีรวมถึงผลงานของมาเลเซียในรายการนี้ ที่ผ่านมา 3 เกม พวกเขาอยู่ในอันดับที่ 4 เก็บชัยชนะได้เพียงเกมแรกกับอินโดนีเซีย ก่อนจะพ่ายให้กับยูเออีและเวียดนาม ทำให้หลายคนต่างก็เริ่มฟันธงว่าเป็นเกมที่ไทยต้องมีคะแนนติดมืออย่างแน่นอน และส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าจะเป็น 3 คะแนนเต็ม
จากที่เราได้ติดตามการฝึกซ้อมของทัพช้างศึกของไทย แม้ว่าในสนามซ้อมทีมจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเท่าที่สื่อได้มีโอกาสเก็บภาพในช่วงเวลาวอร์ม 15 นาทีแรกของเกม แต่ก็นิชิโนะก็ได้เน้นย้ำว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจผลงานที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญคือเกมที่อยู่ข้างหน้าและหนทางการพัฒนาทีมต่อไป
เกมกับมาเลเซียในวันนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่จะพาทีมชาติไทยเก็บ 3 คะแนนสำคัญในการเพิ่มโอกาสไปสู่ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกรอบต่อไป ก่อนที่จะเดินทางไปพบกับเวียดนาม ทีมที่ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวค์ กุนซือดัตช์ของยูเออียกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม และกำลังจะลงแข่งขันในวันเดียวกัน
หากไทยเก็บชัยชนะที่มาเลเซียได้ และยูเออีมีคะแนนที่เวียดนาม ไทยจะขึ้นนำหัวตารางกลุ่ม G มี 10 คะแนน สร้างความได้เปรียบก่อนไปเยือนเวียดนามในวันที่ 19 พฤศจิกายนในทันที
สำหรับเกมนี้ แน่นอนว่าฝั่งเจ้าบ้านมาเลเซียยังคงมีความได้เปรียบภายในสนามที่มีความจุกว่า 87,000 ที่นั่ง แม้ว่ารายงานล่าสุดยังมีบัตรเข้าชมการแข่งขันหลงเหลืออยู่ แต่หากใครได้เคยสัมผัสบรรยากาศของกองเชียร์เสือเหลืองมาเลเซีย ย่อมเข้าใจดีว่าผู้เล่นคนที่ 12 ของพวกเขาช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะในบ้านของพวกเขาเองที่สถิติ 4 นัดหลังสุดที่ไทยบุกมาเยือนที่สนามแห่งนี้ พวกเขาทำได้เพียงเสมอ 2 ครั้ง และแพ้ไปอีก 2 ครั้ง
ขณะที่ไทยเอง เกมนี้ก็มีรายงานว่าตั๋วเข้าชมของทีมเยือนขณะนี้ขายหมดทุกที่นั่ง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีประมาณ 7,000-8,000 คนที่เดินทางไปร่วมเชียร์ทัพช้างศึก
สำหรับการที่ไทยถูกยกให้เป็นทีมที่เหนือกว่าในเกมนี้จากทั้งผลงานนัดล่าสุดกับยูเออีและตำแหน่งหัวตารางของกลุ่ม ความประมาทยังคงเป็นศัตรูที่น่ากลัวของทีมเต็งเสมอ แต่ทั้งนิชิโนะรวมถึงชนาธิปก็ได้ยืนยันแล้วว่าเกมนี้กับมาเลเซียไม่ใช่เกมที่ง่าย และพวกเขาจำเป็นต้องมีสมาธิกับเกมและเล่นตามแผนที่โค้ชได้วางไว้
สำหรับฟุตบอลทีมชาติไทยจะลงสนามพบมาเลเซียในการแข่งขันนัดที่ 4 ของกลุ่ม G ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลิล เวลา 19.45 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์