วันนี้ (10 พฤษภาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีแชร์แม่มณี หมายเลขดำ อ. 167/2563 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง
- วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ เดียร์
- เมธี ชิณภา หรือ บอส
- ปิยะ คีรีสุวรรณกุล หรือ เป้ สามีของวันทนีย์
- พรสวรรค์ ภูอินอ้อย หรือ ฝ้าย
- ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช มารดาของวันทนีย์
- วิไลวรรณ หงษ์ประชาทรัพย์ หรือ มิ้น
- นิตยา พินนอก หรือ โบว์
- บริภัทร เข็มรัตน์
- ปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา
ในข้อหาร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 9 มีนาคม 2562 – 30 ตุลาคม 2563 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 9 ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระโดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เจตนาทุจริตหรือโดยการหลอกลวงได้บังอาจร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเฟซบุ๊กประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลย
โดยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ โดยมีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนจัดแบ่งออกเป็นวง จำนวนการลงทุนวงละ 1,000 บาท จะได้รับผลตอบแทน 930 บาทต่อหนึ่งวง เมื่อครบกำหนด 9 เดือน นับแต่วันที่ลงทุนหรือวันที่ฝากเงินมายังบัญชีที่แจ้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินที่ลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับไปจำนวนวงละ 1,930 บาท
ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้น อีกหลายระบบหลายครั้ง ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 4 กับพวก ไม่ได้จัดให้มีการออมเงินหรือร่วมลงทุนโดยได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอุบายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเท่านั้น
จนเกิดความเสียหายจำนวน 2,533 ราย รวมทั้งสิ้น 1,376,215,359 บาทโดยให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ตั้งแต่อัตราร้อยละ 1,116 ถึงร้อยละ 3,040.45 ต่อปี อันเป็นเท็จ ซึ่งการกู้ยืมเงินตามกฎหมาย ดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปีเท่านั้น
โดยพวกจำเลยนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต และเป็นการกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมเกิน 10 คน ซึ่งมีจำนวนเงินกู้ยืมรวมกันตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป อันมิใช่การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
การกระทำของจำเลยทั้ง 9 เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกันตามเหตุเกิดที่ทุกแขวงและเขต กรุงเทพมหานคร ทุกตำบลและอำเภอ จังหวัดอื่นๆ เกี่ยวพันกัน
จำเลยที่ 1-2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหายและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเบิกความยืนยันทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีพฤติการณ์โฆษณาหลอกลวงประชาชนและผู้เสียหายจำนวนมากให้มาร่วมลงทุน โดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารจำเลยทั้งสอง
ส่วนจำเลยที่ 3-9 เป็นลูกจ้างของจำเลย ไม่มีส่วนรู้เห็น การกระทำผิด
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำนวน 2,528 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 12,640 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5,056 ปี 15,168 เดือน
อย่างไรก็ตามกฎหมายคงจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี จึงจำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้คนละ 20 ปี และให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 3-9 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง
มีรายงานว่า ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาจบ จำเลยได้ส่งเสียงกรีดร้อง ดีใจ และกอดคอร้องไห้ แสดงความยินดีแก่กันโดยมีญาติที่มาให้กำลังใจร้องไห้ด้วยความดีใจ ขณะที่ญาติจำเลยบางส่วนที่ยกฟ้องกล่าวว่า ดีใจที่ศาลยกฟ้อง และให้ความเป็นธรรมแก่น้องๆ เพราะที่จริงแล้วเป็นแค่ลูกจ้างเท่านั้น