ถ้าว่ากันตามตรง 12 Strong อาจจะไม่ใช่หนังสงครามที่ตื่นเต้นที่สุด แต่พอจะพูดได้ว่า 12 Strong คือหนังสงครามที่สะท้อนแง่มุมที่สวยงามของมิตรภาพที่เกิดขึ้นท่ามกลางห่ากระสุนและเสียงระเบิดได้อย่างน่าสนใจ
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความโกรธแค้น ต้องการเอาคืนของอเมริกา หลังเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ในปี 2001 ด้วยการส่งทหารมือดีจากหน่วยกรีน เบเรต์ จำนวน 12 คน กับภารกิจยึดคืนพื้นที่สำคัญ หนึ่งในฐานทัพของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน ก่อนจะมีการส่ง U.S. Army Rangers หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกสหรัฐฯ เข้าจัดการด้วยปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย War on Terror ในเวลาต่อมา
ข้อแตกต่างที่ทำให้ 12 Strong แตกต่างจากหนังสงครามทั่วไปคือ ทหารทั้ง 12 คน ไม่ได้เป็นผู้กล้ารักชาติที่ปฏิบัติภารกิจตามสไตล์อเมริกันจ๋าเพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของนายพลอับดุล โดสตุม หัวหน้ากลุ่มแนวร่วมอิสลามที่ต้องการจะปลดปล่อยบ้านเกิดของตนจากรัฐบาลตาลีบัน จนกลายเป็นความร่วมมือระหว่างทหารอเมริกันผู้คุมแผ่นฟ้า ที่ทำหน้าที่ชี้เป้าให้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ กับกองกำลังของโดสตุมผู้ควบคุมผืนดินด้วยทหารจำนวนไม่กี่พันที่คอยเคลียร์และยึดคืนพื้นที่หลังจากทิ้งโจมตีทางอากาศบรรลุผล
ในมุมหนึ่งอเมริกันคือคนที่นำพากองกำลังและอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพสนับสนุน แต่ในขณะเดียวกันโดสตุมก็ค่อยๆ สอนความหมายของการเป็นนักรบ ที่มากกว่าการเป็น ‘ทหาร’ ให้ผู้พันมิตช์ เนลสัน (การได้เห็น คริส เฮมส์เวิร์ต ถอดชุดเทพเจ้าสายฟ้าแล้วแต่งเครื่องแบบทหารถือว่าเป็นอะไรที่สร้างสีสันให้หนังได้พอสมควร) หัวหน้าหน่วยผู้ไม่เคยฆ่าคนในสนามรบแม้แต่คนเดียว ทั้งคู่ค่อยๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนวันที่ภารกิจลุล่วง วันหนึ่งทั้งสองคนต้องแยกย้ายและอาจกลายเป็นศัตรูกันในเวลาต่อมา แต่สิ่งหนึ่งที่นายพลโดสตุมได้ให้ก็คือคำสัญญาว่าเขาและมิตช์คือพี่น้องกันตลอดไป
หรือความสัมพันธ์ของสิบเอกในหน่วย ที่เปลี่ยนจากความรำคาญเด็กในค่ายทหารที่คอยตามติดเขาแจ กลายเป็นความรัก ความเป็นห่วงที่ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาในช่วงท้าย รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของทุกคนในหน่วยนี้ที่ถึงแม้ตอนต้นเรื่องหลายคนจะมีปัญหากับหัวหน้าหน่วยอยู่บ้าง แต่เมื่อสงครามเริ่ม เราจะเห็นว่าไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ใครจะตั้งคำถามกับคำสั่งบ้าระห่ำที่ได้ยิน ทุกคนใช้เวลาไม่เกินเสี้ยววินาทีเพื่อตอบตกลงและรีบปฏิบัติภารกิจนั้นทันที
อีกส่วนหนึ่งของหนังที่ดีมากๆ คือการปูเรื่องดราม่าของครอบครัวนายทหารหลายครอบครัว ที่มีทั้งน่ารัก ตลก เศร้าแบบครบรส และไม่เลี่ยนจนเกินพอดี หนังทำให้เรารู้ว่าสงครามไม่ได้ทำให้แค่ทหารที่ไปออกรบต้องเสี่ยงชีวิต แต่คนที่รออยู่ข้างหลังก็กำลังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตของคนเป็นสามีหรือคนเป็นพ่อไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งเราแอบเสียดายตอนท้ายอยู่เหมือนกันเพราะหนังไม่ได้เล่าตอนจบของแต่ละครอบครัวมากเท่าไร ทำให้ส่วนที่สร้างมาไว้ตั้งแต่แรกไม่ได้พูดถึงเท่าที่ควร
เรื่องสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของหนังสงครามคือฉากแอ็กชัน ในภาคการรบอื่นๆ 12 Strong ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานหนังสงครามทั่วไป มีความตื่นเต้น บีบคั้น ภาพสวย ซาวด์ดี ถึงจะไม่ได้โดดเด่นมากแต่ก็ไม่ถึงขนาดผิดพลาดจนต้องตำหนิ จะมีก็แต่ไฮไลต์ของสงครามอย่าง ‘การรบบนหลังม้า’ ที่มีข้อดีคือทำให้เราได้เห็นเบื้องหลังของสงครามที่บันทึกเอาไว้ว่าสงครามครั้งนี้ฝ่ายทหารอเมริกันมีเพียงม้า 12 ตัวเป็นยานพาหนะ แต่อาจจะเพราะเวลาในการเล่าที่น้อย ทำให้เรารู้สึกว่าความสมจริงในจุดนี้ขาดหายไปมาก
เราเชื่อว่าสงครามนี้มีการใช้ม้าเป็นปัจจัยสำคัญในการรบจริง แต่ยอมรับว่าเราค่อนข้างไม่เชื่อกับภาพที่หนังนำเสนอว่าทหารที่แทบไม่เคยขี่ม้ามาก่อน (ยกเว้นหัวหน้าหน่วย) จะสามารถขี่ม้าฝ่าสมรภูมิทะเลทราย พื้นหิน ห่ากระสุนและลูกระเบิด พร้อมๆ กับยิงปืนได้อย่างแม่นยำมากขนาดนี้ จนกลายเป็นความประดักประเดิดขึ้นมาในใจ จนทำให้อารมณ์ร่วมที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงไคลแมกซ์ของหนังลดลงไปมากทีเดียว
แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปได้ (ที่มาจากความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนคนเดียว) องค์ประกอบอื่นๆ ที่พูดมา โดยเฉพาะเรื่องมิตรภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ 12 Strong เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถเสียเงินค่าตั๋วไปดูได้แบบไม่รู้สึกเสียดายเงินแน่นอน
- 12 Strong สร้างจากบทความเรื่อง Horse Soldiers: The Extraordinary Story of a Band of US Soldiers Who Rode to Victory in Afghanistan ของนักข่าวนิวยอร์ก ไทม์ ดั๊ก สแตนตัน ดัดแปลงเป็นบทหนังโดย เท็ด ทอลลี เจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Silence of The Lambs
- เนื่องจากเป็นปฏิบัติการลับระดับชาติ ทำให้เรื่องราวของทหารทั้ง 12 คนถูกปิดเป็นความลับอยู่หลายปี ก่อนที่จะมีการเปิดเผย และได้รับการสดุดีด้วยการสร้างอนุสรณ์สถานไว้ที่บริเวณกราวด์ ซีโร่ (Ground Zero) พื้นที่แห่งการไว้อาลัยของเหตุวินาศกรรม 9/11 ใจกลางมหานครนิวยอร์ก ในวันที่ 13 กันยายน 2016
- ขณะทำภารกิจ ทหารทั้ง 12 คน ถูกตั้งค่าหัวไว้มากถึงคนละ 1 แสนเหรียญ และมีค่าเครื่องแบบของแต่ละคนอีกชุดละ 5 หมื่นเหรียญ