ย้อนกลับไปในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 หรือวันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถือเป็นวันแรกที่ รักแห่งสยาม เข้าฉาย มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งขณะนั้นถือเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่วงการภาพยนตร์เริ่มจับตามองจากผลงาน คน ผี ปีศาจ (2547) และ 13 เกมสยอง (2549)
เมื่อเปิดรายชื่อนักแสดงนำจากการโปรโมต หนังเต็มไปด้วยนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ, พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, เบสท์-ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์, ตาล-กัญญา รัตนเพชร์ โดยที่คนดูหนังคงไม่คาดคิดว่ากลุ่มนักแสดงร่วมอย่าง นก-สินจัย เปล่งพานิช, กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี และพลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ รักแห่งสยาม กลายเป็นมากกว่าหนังรักวัยรุ่น เพราะเนื้อหากลับซ่อนไว้ด้วยมิติของเรื่องราวในครอบครัว หนังเต็มไปด้วยเพลงประกอบแสนไพเราะ การค้นหาทิศทางและเติบโตขึ้นของชีวิตวัยรุ่น รวมไปถึงประเด็นวัยรุ่นชายรักชายที่ทำให้ รักแห่งสยาม กลายเป็นหนังวัยรุ่นที่แตกต่างจนสร้างเสียงฮือฮา ถือเป็นกระแสหนังดีแห่งปีที่ถูกพูดถึงแบบปากต่อปาก ก่อนจะข้ามความโด่งดังไปในระดับเอเชียทั้งในไต้หวัน ญี่ปุ่น โดยเฉพาะบนแผ่นดินจีน
ทุกวันนี้ฉากจูบตรงม้าหินระหว่างตัวละคร ‘โต้ง’ และ ‘มิว’ ยังเป็นอีกฉากในหนังไทยที่ผู้คนจดจำได้ ซึ่งพิชให้ความเห็นกับ THE STANDARD ว่า
“ตอนแรกที่อ่านบทเราก็กังวลนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้คุยกับพี่มะเดี่ยวและเห็นด้วยคือมันเป็นแค่พาร์ตหนึ่งของตัวละคร ซึ่งทุกวันนี้เราก็ยังเชื่อแบบนั้นอยู่นะ เลิฟซีนดูหวือหวาเหรอ แต่ถ้าทั้งหมดทั้งมวลของหนังมันคือหนังดี เราแสดงมันออกมาได้ดี คนก็จะไม่ไปจดจำแค่ตรงจุดนั้นจุดเดียวหรอก หนังมันคงมีองค์ประกอบอย่างอื่นที่สร้างให้ตัวละครมีมิติมากกว่าจะถูกจดจำว่า อุ๊ย จูบกับมาริโอ้บนม้าหิน”
เช่นเดียวกัน มาริโอ้เองก็มองว่าสิ่งที่ทำให้ รักแห่งสยาม ประสบความสำเร็จคือความกลมกล่อมในแง่ของการเป็นหนังครอบครัวที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้น
“โอ้ว่าสุดท้ายแล้ว รักแห่งสยาม มันเป็นหนังครอบครัวจริงๆ ที่พอดูจบแล้วเกิดรอยยิ้ม มีความสุขอยู่ข้างในใจ สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จคือความกลมกล่อมครับ เพลงก็เพราะมาก บทภาพยนตร์ก็ทำมานานกว่า 4-5 ปี เพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีใครอยากทำหนังรัก เพราะไม่ค่อยมีใครดู ดูแต่หนังผี หนังตลก”
ความโด่งดังของ รักแห่งสยาม ส่งให้นักแสดงนำวัยรุ่นอย่างมาริโอ้และพิชแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะในไทย แต่โด่งดังและมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นอย่างมากในประเทศจีน ตลอดสิบปีมานี้ รักแห่งสยาม จึงเป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตและทิศทางของนักแสดงวัยรุ่นหลายต่อหลายคนในเรื่องด้วยเช่นกัน
“ตอนแรกที่รับเล่น เราไม่ได้คาดหวังว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ถามว่ากังวลไหม มันก็มีนะ เพราะด้วยเรื่องบทมันค่อนข้างเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยงของคนเมื่อยุคสิบปีที่แล้ว อะไรกัน อยู่ๆ เด็กผู้ชายสองคนมาจูบกัน หรือมารักกันบนจอหนัง เราก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร อีกอย่างคิดว่าหนังจบก็คงจบไปมั้ง หนังมันคงไม่ดัง หรือหนังคงไม่ได้ส่งแรงกระเพื่อมต่อเราหรือคนดูหนังมากมายขนาดนี้”
“รักแห่งสยาม คือจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งในชีวิตของเราเหมือนกันครับ เพราะพิชก็กลับมานั่งนึกดูว่า เอ๊ะ ถ้าสิบปีที่แล้วเราไม่ได้ตอบรับเล่นหนังเรื่องนี้แล้วชีวิตจะเป็นยังไงวะ คือมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เห็นกันชัดๆ อย่างการได้มาทำงานในวงการบันเทิง การได้ทำงานกับวงออกัส แต่มันหมายถึงตัวของเราด้วย ที่ถ้าเราไม่ได้เล่น รักแห่งสยาม เราก็คงไม่เอ็นทรานซ์เข้าคณะวารสารศาสตร์”
ด้านมาริโอ้ก็เช่นกัน หลังแจ้งเกิดจาก รักแห่งสยาม เขาก็กลายเป็นพระเอกวัยรุ่นที่เนื้อหอมและเติบโตในแวดวงบันเทิงอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
“รักแห่งสยาม เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เราใหม่มาก และไม่ได้อยากเล่น เรากังวล เพราะไม่เคยทำอะไรพวกนี้ หรืออย่างตอนถ่ายหนังเราก็ไม่ได้คิดว่าหนังเรื่องนี้จะดัง จนกระทั่งถ่ายทำไปได้ครึ่งเรื่อง ผมจำได้ว่าพี่ผู้ช่วยผู้กำกับเขาบอกกับผมว่าหนังเรื่องนี้ดังแน่เลย มึงดังแล้วอย่าเปลี่ยนไปนะโอ้ ดังแล้วให้น่ารักอย่างนี้เหมือนเดิมนะเว้ย”
- รักแห่งสยาม ทำรายได้รวมเมื่อหมดโปรแกรมฉายไปทั้งสิ้น 42 ล้านบาท และสามารถคว้ารางวัลใหญ่จากการประกาศผลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ได้ถึง 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์), รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ผลจากความสำเร็จของ รักแห่งสยาม ส่งให้วงเฉพาะกิจในนาม ‘ออกัส’ ซึ่งมีบทบาทร่วมอยู่ในหนังกลายเป็นวงดนตรีขึ้นมาจริงๆ โดยมีสมาชิกทั้งหมด 11 คน หนึ่งในนั้นคือพิช ที่ต่อมากลายเป็นนักร้องและนักแสดงที่มีแฟนคลับจีนเหนียวแน่นอย่างที่สุด