มหากาพย์ทางกฎหมายที่อาจบั่นทอนอาณาจักรโซเชียลมีเดียมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดฉากแล้วที่ศาลกรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายน โดย FTC (คณะกรรมการการค้าสหรัฐ) กล่าวหา Meta ว่าการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp เป็นการสร้าง ‘อำนาจผูกขาด’ ที่ผิดกฎหมาย
คดีนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบอนาคตของ Meta แต่ยังสะท้อนท่าทีของรัฐบาล Trump ต่อบิ๊กเทคและนโยบายต่อต้านการผูกขาดด้วย
Mark Zuckerberg ปรากฏตัวในศาลด้วยชุดสูทเนกไทแทนลุคเสื้อลำลองและสร้อยทองที่เขามักสวมในช่วงหลัง ทนาย FTC ได้นำเสนออีเมลภายในของ Zuckerberg เป็นหลักฐานที่แสดงเจตนาในการ ‘ซื้อหรือกำจัด’ คู่แข่ง และชี้ให้เห็นว่า Meta ขัดขวางการแข่งขันโดยซื้อกิจการ Instagram ในปี 2012 ด้วยเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ และ WhatsApp ในปี 2014 ด้วยเงินมหาศาลถึง 19,000 ล้านดอลลาร์
โดยในอีเมลปี 2011 เขาเขียนกังวลว่าหาก Instagram เติบโตต่อไปหรือถูก Google ซื้อ พวกเขาจะสามารถลอกเลียนแบบบริการของ Facebook ได้อย่างง่ายดาย
อีเมลปี 2012 ยิ่งแสดงความกังวลชัดเจนเมื่อ Zuckerberg ระบุว่า Instagram เป็นภัยคุกคามอย่างมาก และ Facebook จะล้าหลังในการพัฒนาบนมือถือ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องพิจารณาทุ่มเงินมหาศาลซื้อ Instagram ส่วน WhatsApp เขาวิเคราะห์ว่าแอปข้อความนี้มีศักยภาพพลิกตลาดในสหรัฐฯ ที่ SMS ยังเป็นแพลตฟอร์มหลัก
ในศาล Zuckerberg ชี้แจงว่า ช่วงนั้นบริษัทกำลังเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้นและพิจารณาใช้เงินทุนซื้อเครื่องมือต่างๆ แทนที่จะสร้างทุกอย่างเอง จึงวิเคราะห์ทางเลือกระหว่างสร้างเอง หรือซื้อกิจการ
FTC อ้างว่า Meta มีอำนาจผูกขาดโดยการตรวจสอบพบว่าผู้ใช้ใช้เวลากับแอปของ Meta ถึง 85% เมื่อเทียบกับแอปโซเชียลมีเดียทั้งหมด
พวกเขากล่าวหาว่าการกระทำของ Meta ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ทั้งการเพิ่มโฆษณาใน Facebook และ Instagram อย่างมหาศาล และความล้มเหลวด้านความเป็นส่วนตัวตลอดเวลาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทนายยังอ้างอีเมลลับปี 2018 ที่ Zuckerberg เขียนว่า Meta พยายามสกัดการเติบโตของ Instagram เพื่อป้องกันการล่มสลายของเครือข่าย Facebook โดยในอีเมลปี 2012 เขาเคยเรียก Instagram ว่าเป็น ‘กรมธรรม์ประกันภัย’ ของบริษัท เปรียบเสมือนการซื้อไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ว่า Meta จะปฏิเสธว่าไม่ได้หมายความว่าจะกดดันหรือลดความสำคัญของ Instagram
ฝั่ง Meta โต้แย้งว่าบริษัทไม่ได้มีการผูกขาดตลาดแต่อย่างใด ทนายของ Meta เรียกคดีนี้ว่า ‘ผิดทิศทาง’ และพยายามบิดเบือนหลักการกฎหมายต่อต้านการผูกขาด พร้อมชี้แจงว่าตัวเลขส่วนแบ่งตลาดที่แท้จริงของ Meta อยู่ที่น้อยกว่า 30% หากนับรวมเวลาที่ผู้ใช้ใช้กับแพลตฟอร์มอื่นอย่าง TikTok และ YouTube
ดังนั้น ที่ FTC อ้างว่า TikTok ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกับ Instagram เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อ TikTok หยุดให้บริการชั่วคราวในมกราคม ผู้ใช้ Facebook และ Instagram พุ่งสูงขึ้นทันที
Meta ยังอ้างว่าได้ปรับปรุงคุณภาพของ Instagram และ WhatsApp ทำให้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นมหาศาลตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการ แถมยังให้บริการฟรี
ความสัมพันธ์ระหว่าง Zuckerberg และ Trump มีความเย็นชาหลัง Trump ถูกแบนจากแพลตฟอร์มของ Meta หลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐเมื่อมกราคม 2021 แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดย Meta บริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้กับงานพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Trump
และเพิ่มอดีตที่ปรึกษาของ Trump รวมถึงพันธมิตรใกล้ชิดเข้าคณะกรรมการบริษัท Meta ยังยกเลิกการใช้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระและจ่ายเงิน 25 ล้านดอลลาร์ให้ Trump เพื่อยุติคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับการระงับบัญชีของเขา
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า FTC มีอุปสรรคในคดีนี้ เพราะผู้พิพากษาเคยยกฟ้องคำร้องครั้งแรกก่อนจะยอมรับคดีที่ยื่นใหม่ในปี 2022 Rebecca Haw Allensworth ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายจาก Vanderbilt Law School วิเคราะห์ว่าคำพูดของ Zuckerberg ที่ว่า ‘ซื้อดีกว่าแข่ง’ เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดว่า Meta ตั้งใจซื้อ Instagram เพื่อกำจัดคู่แข่งที่กำลังเติบโตแทนที่จะแข่งขันอย่างเป็นธรรม
Laura Phillips-Sawyer จาก University of Georgia มองว่า FTC มีความท้าทายในการพิสูจน์คดีนี้มากกว่าคดี Google เพราะตลาดโซเชียลมีเดียมีผู้เล่นและการแข่งขันมากกว่าตลาดค้นหาออนไลน์ที่ Google ครองส่วนแบ่งถึง 90% หากศาลตัดสินให้ Meta ผิด บริษัทอาจถูกบังคับให้ขาย WhatsApp และ Instagram ออกไป
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คดีนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่ายุคทองของยักษ์เทคที่กลืนกินคู่แข่งได้ไร้ขีดจำกัด กำลังถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ภาพ: imbriaco_photo/Shutterstock
อ้างอิง: