ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ เทคโนโลยีทางการเงินจำพวกสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) และบล็อกเชน (Blockchain) ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนไทย ทุกวันนี้ผู้ให้บริการทางการเงินและธนาคารหลายแห่งเริ่มนำบล็อกเชนมาใช้เพื่อให้การทำธุรกรรมเป็นระบบระเบียบ โปร่งใส และดำเนินการได้รวดเร็วมากขึ้น
ส่วนตัวเงินคริปโตฯ โดยเฉพาะบิทคอยน์ก็เป็นอีกช่องทางความสนใจลำดับต้นๆ ของนักลงทุน สืบเนื่องจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด ถึงอย่างนั้นหน่วยงานใหญ่หลายๆ แห่งในประเทศไทยอาจจะยังมองเงินดิจิทัลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสีขาว 100%
แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เคยออกประกาศห้ามสถาบันการเงินทุกแห่งไม่ให้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ ทุกชนิดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีทั้งความผันผวนและความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ดี ท่าทีในเวลาต่อมาของ ธปท. ก็เริ่มอ่อนลง และเริ่มเปิดรับการศึกษาเงินดิจิทัลเพื่อการใช้งานในอนาคตมากขึ้น
30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา นิตยสาร Forbes ได้จัดงาน Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 18 ที่ประเทศไทยในหัวข้อ ‘The World Reboots’ ซึ่งมีซีอีโอบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกให้ความสนใจตบเท้าเข้าร่วมงาน และร่วมให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมธุรกิจ
หนึ่งในดาวเด่นที่ได้รับการพูดถึงและถูกรุมตั้งคำถามบนเวทีเสวนามากที่สุดคือ เจา ชังเผิง (Zhao Changpeng) ผู้ก่อตั้ง Binance เว็บเทรดเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดลำดับต้นๆ ของโลก ที่ก่อตั้งขึ้นจากการระดมทุนแบบ ICO (เหรียญระดมทุน) บนกระดาษขาวเพียงใบเดียว (White Paper) แถมยังถูก Forbes ยกให้เป็นหนึ่งในบุคลากรวงการเงินดิจิทัลที่มีสินทรัพย์มากที่สุดติด 5 อันดับแรกของโลกด้วยมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 46,170 ล้านบาท (สถิติล่าสุดของวันที่ 1 พ.ย. 2018)
“ผมไม่เห็นด้วย” เจาตอบผู้ร่วมเสวนารายหนึ่งที่มองบิทคอยน์เป็นเรื่องหลอกลวง ไม่มีคุณค่าจริงๆ หรือเป็นส่ิงที่คนทึกทักตั้งราคากันขึ้นมาเอง
เราชวนเจามาคุยในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและเงินดิจิทัลเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ของเงินที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ว่า ทำไมเราถึงต้องรู้จักมัน เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราเช่นไร เงินดิจิทัลจะเข้ามาทดแทนเงินสดที่เราใช้อยู่ในทุกๆ วันได้หรือเปล่า รวมถึงคำเปรียบเทียบที่ว่า เงินดิจิทัลเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจาก ‘มีดทำครัว’ เป็นเครื่องมือที่สร้างได้ทั้งประโยชน์และโทษ
ถ้าคุณเป็นนักเทรดที่สนใจอยากจะเข้ามาในอุตสาหกรรมบิทคอยน์หรือเงินสกุลดิจิทัลเพื่อรวยเพิ่มขึ้น 10 เท่าในวันรุ่งขึ้นมันอาจจะไม่เวิร์กสักเท่าไร
ทำไมถึงตัดสินใจออกจากวงการหุ้นแล้วเลือกมุ่งมาทำงานด้านคริปโตฯ หรือบล็อกเชน
ก่อนจะก่อตั้งบริษัท Binance ขึ้นมา ผมทำงานในอุตสาหกรรมเงินดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2013 ช่วงแรกผมทำงานกับตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลหลายๆ แห่งในประเทศจีน สาเหตุที่ผมออกมาเริ่มต้นทำ Binance ก็เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลในช่วงเวลานั้นที่ดี แม้จะมีคนบอกผมว่าในช่วงนั้นก็มีตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลหลายแห่งอยู่แล้ว ทำไมต้องสร้างตลาดแลกเปลี่ยนที่ใหม่ขึ้นมาด้วยล่ะ แต่สำหรับผม ผมเห็นว่าตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลจำนวนไม่น้อยในยุคนั้นยังไม่มีเสถียรภาพ ด้วยเหตุผลด้านระบบการจัดการต่างๆ และการดูแลผู้ใช้ที่อาจจะทำได้ไม่ดีพอ ล่าช้า
ผมเลยคิดศึกษาเพื่อพัฒนาตลาดแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า นอกจากนี้สถานะและขนาดของตลาดก็มีความพร้อมแล้ว ส่วนการลงทุนแบบ ICO ก็จะช่วยให้เงินจำนวนมหาศาลเข้ามาสู่อุตสาหกรรมเงินดิจิทัล ก็เลยเริ่มคุยกับทีมงานว่า งั้นเรามาลองพัฒนาตลาดแลกเปลี่ยนดิจิทัลที่ดีกว่าเดิมขึ้นมากันดีกว่า และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Binance
แต่คนจำนวนไม่น้อยก็มองเงินดิจิทัลเป็นเรื่อง ‘เสี่ยง’ ไม่วันใดวันหนึ่งก็จะเกิดภาวะฟองสบู่ คุณคิดเห็นอย่างไร
ต้องมองอย่างนี้ครับว่า เงินดิจิทัลเองก็มีฟีเจอร์ที่ ‘เงิน’ ชนิดที่เราใช้กันอยู่ในวันนี้ไม่มี ตัวอย่างเช่น ช่วยให้เกิดการทำธุรกรรมไร้พรมแดน บล็อกเชนไม่สามารถปฏิเสธการทำธุรกรรมของเราได้ คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาอนุมัติเวลาจะโอนเงินไปให้คนอื่น ฟีเจอร์พวกนี้เป็นประโยชน์มาก แล้วตัวบล็อกเชนและเงินสกุลดิจิทัลก็มีกรณีการใช้งานจริงเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ผมคิดว่าเราทุกคนกำลังอยู่ในช่วงแรกของการศึกษาความสามารถและประโยชน์ที่เราจะดึงออกมาจากบล็อกเชนได้
สำหรับผม ผมมองถึงผลของสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชนในระยะยาว ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นในอีก 10 หรือ 20 ปีต่อจากนี้ แล้วเราก็คงจะได้เห็นวิวัฒนาการทางการเงินเหล่านี้พัฒนาไปไกลมากขึ้น และมีกรณีการใช้งานจริงล้นหลาม ผมไม่เคยกังวลถึงมูลค่าเงินดิจิทัลที่ขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละวันเลย แล้วต่อให้คุณสนใจมูลค่าของมันจริงๆ ก็ให้ลองไปย้อนดูข้อมูลมูลค่าแบบปีต่อปีก็จะพบว่า ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเปรียบเทียบกับปีนี้ บิทคอยน์ก็ยังไม่ได้มีราคาสูงเหมือนทุกวันนี้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าคุณย้อนกลับไป 2-3 ปีก่อนหน้านี้ มันถูกกว่านี้มากๆ ถ้าคุณเป็นนักเทรดที่สนใจอยากจะเข้ามาในอุตสาหกรรมบิทคอยน์หรือเงินสกุลดิจิทัลเพื่อรวยเพิ่มขึ้น 10 เท่าในวันรุ่งขึ้นมันอาจจะไม่เวิร์กสักเท่าไร ไม่มีตลาดไหนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผมเองสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลมานั่งเช็กมูลค่าของมันได้ 2-3 สัปดาห์เต็มๆ ด้วยซ้ำ เว้นแต่ว่าจะมีคนบอกผมว่าบางสกุลเงินดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงทางมูลค่าไปอย่างมาก ผมถึงจะค่อยเข้าไปเช็กมัน ถ้าคุณให้เวลากับมันก็จะเห็นได้เลยว่าเงินดิจิทัลจะเติบโตไปในทิศทางใด เพราะในวันที่อุตสาหกรรมของมันเติบโตขึ้นในอนาคต มูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
หมายความว่าการลงทุนกับเงินดิจิทัลเป็นการลงทุนระยะยาว ถ้าเช่นนั้นคนที่ต้องการเห็นผลมันภายใน 1 ปี หรือ 2 ปีอาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนประเภทนี้
ใช่เลยครับ ผมมองมันเป็นการลงทุนในระยะ 10-30 ปี บางคนอาจจะมองเป็น 100 ปีเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมอยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเงินดิจิทัลภายใน 1 ปี ผมคงไม่ก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ การที่ผมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างให้กับอุตสาหกรรมเงินคริปโตฯ ผ่าน Binance หมายความว่าผมตั้งใจจะอยู่กับมันในอีก 10-30 ปีข้างหน้า
ในฐานะที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ คิดว่าเงินดิจิทัลมีโอกาสจะเข้ามาทดแทนเงินที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ไหม
ด้วยความสัตย์จริงนะครับ ในแง่ความเป็นไปได้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเข้ามาแทนที่หรือเข้ามาเติมเต็มระบบค่าเงินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันอาจจะดำเนินไปเหมือนๆ ในกรณีเดียวกับที่อีเมลแทบจะเข้ามาแทนที่การส่งจดหมายกระดาษ หรือเหมือนในวันนี้ที่เราก็อาจจะไม่ได้ใช้อีเมลแต่หันมาใช้แชตแอปพลิเคชันกัน และมันก็อาจจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกับการเกิดขึ้นของพาหนะอย่างรถยนต์ ในวันที่เรามีรถไฟใช้ มันไม่ได้เข้ามาแทนที่กันและกัน แต่เป็นทางเลือกของกันและกันมากกว่า
ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า จะสร้างการใช้งานหรือดึงประโยชน์จากมันออกมาในรูปแบบไหน ในมุมมองส่วนตัว ผมคิดว่า ‘บล็อกเชน’ ต่างหากที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของเราใกล้เคียงกับในระดับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้ แล้วผลกระทบดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นในทุกๆ มุมการใช้ชีวิตอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในแง่ของการทำธุรกรรมจ่ายเงิน รับเงิน หรือการระดมทุนเพื่อริเริ่มโปรเจกต์ต่างๆ เป็นของตัวเอง (ICO) หรือการให้สินเชื่อกู้ยืมจากโครงการระดมทุนของธนาคารทั่วโลก มันมีความเกี่ยวโยงกันในหลายๆ ขอบเขต ณ วันนี้เราเพิ่งรู้จักและใช้งานบล็อกเชนในระยะเริ่มต้นเท่านั้น
เงินดิจิทัลเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบบล็อกเชน มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ใครสามารถทำอะไรกับมันก็ได้ มีฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากที่เรายังไม่ได้เริ่มทำบนบล็อกเชน ต่อจากนี้เราคงจะได้เห็นการพัฒนาและการใช้งานบล็อกเชนเกิดขึ้นรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
Jibrel Network
หมายความว่าในอนาคต Binance เองก็คงไม่ได้จะทำหน้าที่เป็นแค่ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล
แน่นอนครับ Binance อยากจะเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างขั้นพื้นฐานในบล็อกเชน เราอยากจะให้บริการมากกว่าแค่การเทรดเงินดิจิทัลอยู่แล้ว อนาคตเราอาจจะให้บริการ e-Wallet ด้วยก็ได้ หรือเราจะให้บริการด้านเพย์เมนต์ หรือเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรมเกม
คล้ายๆ กับที่ Alibaba หรือ Tencent ทำกับ Alipay และ WeChat Pay
อะไรทำนองนั้นครับ แต่ ณ ตอนนี้การไปแข่งกับพวกเขาคงจะเป็นอะไรที่ยากมากๆ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นถ้ามองในระยะสั้น Binance และผมเองก็คงไม่ไปแข่งกับผู้ให้บริการในระดับนั้น แต่เราอยากจะให้บริการในหลายๆ หมวดหมู่ของการใช้งานในอุตสาหกรรมแห่งนี้
คุณเล่าบนเวทีเสวนาของ Forbes ว่า สามารถระดมทุนแบบ ICO ด้วย White Paper โดยได้จำนวนเงินมหาศาลกลับมาภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว เป็นไปได้ไหมว่าวันข้างหน้ามันจะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาล
เงินดิจิทัลช่วยให้ทุกคนบนโลกนี้สามารถลงทุนในโปรเจกต์สตาร์ทอัพที่พวกเขาชื่นชอบได้ การระดมทุนแบบ ICO ช่วยดึงดูดกลุ่มคนในวงกว้างขึ้นได้ มันคือทางเลือกของการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้เกิดความสะดวกและดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นเลยว่าคุณจะมีชื่อเสียงโด่งดังหรือไม่
ต่างจากขั้นตอนการระดมทุนแบบ IPO (เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป) ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า ยิ่งคุณระดมทุนได้เร็วแค่ไหน ก็จะช่วยให้คุณเดินหน้าสร้างธุรกิจได้เร็วขึ้นเท่านั้น ผมอยากให้นักธุรกิจหลายคนเริ่มศึกษาการระดมทุนแบบ ICO เป็นหนึ่งในวิธีการระดมทุนของพวกเขา
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดเหมือนที่ประเทศจีนทำสำเร็จมาแล้ว แต่หลายฝ่ายก็ยังมองเงินดิจิทัลในทางลบ เช่น การพนัน หรือมองเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ คุณคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้
เรื่องแบบนี้เป็นอะไรที่ปกติมากครับสำหรับการเริ่มทำความรู้จักกับอุตสาหกรรมเงินดิจิทัลในช่วงระยะแรกๆ เพราะว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ก็จะมองว่ามันเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง และแน่นอนว่าก็มีคนใช้เงินดิจิทัลและบิทคอยน์เพื่อจุดประสงค์ในทางลบ เช่น การพนัน แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากๆ ผมคิดว่ามันคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะเพื่อให้คนเปิดรับมากขึ้น ตอนนี้เครื่องมือที่เราใช้ในอุตสาหกรรมเงินดิจิทัลบางอย่างก็ยังไม่ได้ดีเยี่ยมเลยเสียทีเดียว เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ หรือ e-Wallet ก็ยังใช้งานยากอยู่
ผมคิดว่าผู้ให้บริการควรจะทำให้บริการการทำธุรกรรมออนไลน์เหล่านั้นใช้งานได้ง่ายขึ้น แล้วเมื่อมีคนใช้งานมากขึ้นก็จะเข้าใจว่าเงินดิจิทัลไม่ใช่การพนัน หรือมีความเสี่ยงสูงเสมอไป จริงอยู่ตัวเลขมูลค่าของบิทคอยน์ก็มีความผันผวน แต่ในระยะยาวต่อไปมูลค่าของมันก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาดอยู่แล้ว ถ้าเปรียบเทียบมูลค่าของมันเมื่อ 7 ปีที่แล้วกับวันนี้ ก็จะพบว่าบิทคอยน์มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก
เปรียบเทียบแล้ว บล็อกเชนและเงินดิจิทัลก็เหมือน ‘มีดทำครัว’ ครับ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มองว่าเงินดิจิทัลเป็นเรื่องที่ปลอดภัย 100% โดยกำลังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมันมาใช้
รัฐบาลในหลายๆ ประเทศก็ระมัดระวังการใช้งานมันเหมือนกันครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาก็ควรจะทำ เพราะหากรัฐบาลใดก็ตามอนุมัติให้มันเกิดขึ้น ก็ควรจะคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนของพวกเขาด้วย มันเป็นเรื่องปกติเลยละครับที่รัฐบาลจะต้องระวังหรือเริ่มทำความรู้จักเงินดิจิทัลเอาไว้ให้ดี ซึ่งหลายหน่วยงานก็คงมองไปที่ความเสี่ยงของมันเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว ก่อนจะกลับไปมองในเชิงประโยชน์ของมัน
สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยี เงินดิจิทัล เป็นแนวคิดรูปแบบใหม่ ไม่มีคำว่าดีหรือแย่ เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณจะใช้งานมันแล้วว่าจะใช้ในทางที่ดีหรือทางที่ผิด ไม่จำเป็นเลยว่าเราจะนำบล็อกเชนหรือเงินดิจิทัลไปใช้เพื่อยาเสพติดหรือการพนัน ไปจนถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายเพียงอย่างเดียว เพราะเราก็สามารถนำมันมาใช้ในด้านการกุศลหรือจะนำไปใช้จ่ายค่าที่พักโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบินก็ยังทำได้
เปรียบเทียบแล้ว บล็อกเชนและเงินดิจิทัลก็เหมือน ‘มีดทำครัว’ ครับ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าคุณนำไปหั่นผัก ปอกผลไม้ นั่นก็คือข้อดี ถ้านำไปใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับคนอื่นมันก็คือผลเสีย แต่ถ้าเราไม่มีมีดให้ใช้เลยก็คงต้องย้อนกลับไปหลายๆ พันปีที่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่เข้าท่าแน่นอน ฉะนั้นทั้งมีดทำครัวและบล็อกเชนก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำประโยชน์ได้หรือไม่ ไม่ช้าหรือเร็ว ผมคิดว่าในหลายๆ ประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือบางรัฐในสหรัฐอเมริกาจะยอมรับให้เงินดิจิทัลเป็นเรื่องถูกกฎหมายแน่นอน
ผลกระทบจากการเข้ามาของบล็อกเชนทำให้ธนาคารหลายแห่งในไทยเริ่มปรับตัว และเปลี่ยนกลยุทธ์ ผู้ให้บริการบางเจ้าเริ่มชะลอการขยายสาขาลง เทรนด์ของโลกธนาคารบนโทรศัพท์มือถือจะดำเนินไปเช่นไร
เทรนด์การลดและปิดสาขาธนาคารจะดำเนินต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ ธนาคารจะย้ายมาอยู่บนโทรศัพท์มือถือและโลกอินเทอร์เน็ตแน่ๆ ส่วนตัวผมมองว่า ‘เงิน’ ที่เราใช้และมองเห็นกันอยู่ในวันนี้เป็นเงินจำลองในแบบดิจิทัล ไม่ว่าคุณจะมีเงินในบัญชีมากแค่ไหน มันก็เป็นแค่ตัวเลขบนคอมพิวเตอร์ มันไม่ใช่จำนวนแบงก์หรือจำนวนทองที่คุณมีนะครับ นั่นแหละครับที่เราเรียกว่าเงินดิจิทัล แล้วเงินดิจิทัลก็จะได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราสามารถใช้ Apple Pay, WeChat Pay แตะเพื่อจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการกันได้ แล้วสเตปต่อไป เงินคริปโตฯ ก็จะใช้งานได้ง่ายขึ้น และสะดวกกว่าที่เคย มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว และคงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเทรนด์นี้ได้
เอาเข้าจริง ณ วันนี้เงินดิจิทัลก็ยังเป็นความสนใจของแค่ผู้ใช้บางกลุ่ม เป็นไปได้ไหมว่ามันจะได้รับความสนใจจากกลุ่มคนในกระแสหลัก
แน่นอนอยู่แล้วครับว่าเป็นไปได้ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือช้าก็เท่านั้น ปัจจุบันน่าจะมีผู้ใช้มากกว่า 50-100 ล้านคนที่มีเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง ส่วนอีกหลายๆ คนก็ได้ยินชื่อและรู้จักมัน ซึ่งถ้าย้อนหลังกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมเชื่อว่าน้อยคนด้วยซ้ำจะเคยได้ยินชื่อ Cryptocurrency มันแค่ต้องใช้เวลา (เพื่อให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มในกระแสหลัก) กุญแจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้มันเกิดขึ้นได้เร็วมากขึ้นคือผู้ให้บริการหน้าเดิมๆ ในตลาดพัฒนาช่องทางทำให้ผู้คนได้ลองใช้งานมัน ผมมีโอกาสได้คุยกับค่ายผู้พัฒนาเกมแล้วพบว่าพวกเขาก็นำสกุลเงินดิจิทัลเข้าไปเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำธุรกรรมเพื่อซื้อขายสินค้าในตัวเกม นี่คือกรณีการใช้งานตัวอย่างที่จะทำให้สกุลเงินดิจิทัลถูกใช้งานมากขึ้น มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นครับ
ผมอยากชวนให้ทุกคนเรียนรู้มันเป็นอย่างน้อย ถ้าได้เปิดใจเรียนรู้แล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปิดใจไม่ยอมทำความรู้จัก เอาแต่บอกว่าไม่ชอบ คุณก็จะเหมือนคนตาบอดที่เดินคลำทางไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย
ในมุมของคนที่อาจจะไม่ได้สนใจสกุลเงินดิจิทัลจริงๆ คุณคิดว่ามันจะมีบทบาทหรือส่งผลกระทบกับพวกเขาอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว คุณเลือกที่จะไม่ศึกษาเงินดิจิทัลแล้วใช้เงินสดต่อไปก็ได้ ซึ่งผมคิดว่าผละกระทบของมันขึ้นอยู่กับว่าเงินดิจิทัลถูกพัฒนาไปในทิศทางใด หากมันถูกพัฒนาเหมือนๆ หรือเป็นไปในทำนองเดียวกันกับอีเมลหรือแชตแอปพลิเคชัน วันนี้คุณก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติโดยส่งจดหมายไปรษณีย์จ่าหน้าซองถึงกันได้อยู่ แต่มันอาจจะแค่ไม่สะดวกก็เท่านั้น
สำหรับผม ผมเป็นคนที่เปิดกว้างที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นคนแรกๆ อยู่เสมอ ผมชื่นชอบการเรียนรู้และทำความรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วเทคโนโลยีเงินดิจิทัล โดยเฉพาะบล็อกเชนพวกนี้ก็จะคงอยู่ต่อไปในอนาคต แถมจะถูกพัฒนาให้ใหญ่กว่าเดิม 100-1,000 เท่าด้วยซ้ำไป ผมอยากชวนให้ทุกคนเรียนรู้มันเป็นอย่างน้อย ถ้าได้เปิดใจเรียนรู้แล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปิดใจไม่ยอมทำความรู้จัก เอาแต่บอกว่าไม่ชอบ คุณก็จะเหมือนคนตาบอดที่เดินคลำทางไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย
ผมอยากให้ทุกๆ คนได้ลองทำความรู้จักกับมัน โดยเฉพาะในวันนี้ที่มีแหล่งความรู้มากมายบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลให้เราได้ศึกษา อย่าง Binance ก็มี Binance Academy ที่มีวิดีโอมากกว่า 100 ตอนเพื่อสอนให้ทุกคนรู้จักกับบล็อกเชน แต่ยังรองรับการใช้งานแค่ภาษาอังกฤษ ซึ่งหวังว่าในอนาคตเราจะรองรับการให้บริการในภาษาอื่นๆ รวมถึงภาษาไทยด้วย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า