เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ประกาศคลายล็อกดาวน์เมืองเฉิงตู ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ราว 21 ล้านคน หลังจากที่รัฐบาลได้สั่งล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิดตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา และถัดมาในวันที่ 19 กันยายน ผู้นำของฮ่องกงก็ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าฮ่องกงมีแนวโน้มจะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มตัวอีกครั้ง โดยจะเริ่มจากการผ่อนคลายมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ
การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดของทั้งจีนและฮ่องกงล่าสุด ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มคาดหวังว่าจีนอาจจะผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID ตามมาในไม่ช้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จีนยุติล็อกดาวน์ เฉิงตู มีผลจันทร์นี้ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดลดลงจนน่าพอใจ
- ‘จีน’ ผนึก ‘รัสเซีย’ ดันสกุลเงินกลุ่ม BRICS เป็นทางเลือกชำระเงิน หวังคานอำนาจดอลลาร์สหรัฐ
- 10 กองทุนหุ้นจีน ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน แกร่งสุด
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง มองว่ารัฐบาลจีนจะยังคงนโยบาย Zero-COVID ไปจนถึงการประชุมพรรคคอมนิวนิสต์จีนในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง
“การยกเลิกมาตรการ Zero-COVID อย่างเร็วที่สุดที่น่าจะเกิดขึ้นได้คือการประกาศยกเลิกในการประชุมที่จะถึงนี้”
อย่างไรก็ดี หากจีนประกาศยกเลิกนโยบาย Zero-COVID จริง สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงแรกคือการออกแคมเปญกระตุ้นให้ชาวจีนเดินทางและใช้จ่ายในประเทศก่อน
ในมุมของการลงทุน จากการเริ่มผ่อนคลายการล็อกดาวน์ทำให้หุ้นจีนยังคงน่าสนใจและเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทยอยเข้าลงทุนได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันกำไรต่อหุ้นของหุ้นจีนอิงดัชนี CSI300 ถูกปรับคาดการณ์ขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้นจีนกำลังลดลง ทำให้ค่า P/E ของดัชนี CSI300 อยู่ที่เพียง 13 เท่า ทำให้มีโอกาสที่หุ้นจีนจะเริ่มฟื้นตัวได้
นอกจากนี้เศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้น 2.7% และเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับครึ่งปีแรกที่หดตัว 0.7% สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ดีขึ้น
“เชื่อว่าหุ้นจีนที่ลดลงรอบนี้เป็นการปรับฐานในรอบของขาขึ้นมากกว่า ส่วนตัวยังเชื่อแบบนั้น”
นอกจากนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีนยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดีกว่า ทั้งจากเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า ส่งผลให้รัฐบาลยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมี Downside อีกราว 5-10% เนื่องจากแนวโน้มกำไรที่แย่ลง และจากสถิติในอดีตตลอด 100 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวลงในช่วง 12 เดือน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา หรือเรียกว่าการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งปีนี้จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน
ขณะที่ Bloomberg รายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (SFC) ได้หารือกับบริษัทด้านการเงินต่างๆ เพื่อจะดึงบุคลากรจากต่างชาติกลับมาทำงานในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่พนักงานต่างชาติจำนวนมากทำงานจากต่างประเทศในช่วงโควิดที่ผ่านมา
หนึ่งในปัญหาที่ฮ่องกงเผชิญอยู่คือบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมากเลือกที่จะไปทำงานจากที่ประเทศอื่นหรือไม่ทำงานกับบริษัทในฮ่องกงอีกแล้ว ทำให้ฮ่องกงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินไป เนื่องจากการควบคุมโควิดที่เข้มข้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่บางบริษัทเลือกที่จะย้ายสำนักงานและพนักงานไปตั้งอยู่ในประเทศอย่างสิงคโปร์ ซึ่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดแล้ว
ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ตลาดจับตามองในช่วงนี้คือการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าทางการจีนจะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID บ้างหรือไม่ เพราะหากเริ่มผ่อนคลายลงก็จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนโดยตรง
“ส่วนตัวมองว่านโยบาย Zero-COVID น่าจะผ่อนคลายไปทีละขั้น โดยเริ่มจากการคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศกลับสู่ภาวะปกติ ให้ผู้คนสามารถเดินทางในประเทศได้ตามปกติเป็นลำดับแรก”
ส่วนการอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศเพื่อท่องเที่ยว เชื่อว่าจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ โดยอาจจะเห็นการอนุญาตเร็วสุดช่วงต้นปีหน้า
หากจีนกลับมาเปิดประเทศจริง จะเป็น Big Upside ต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวของไทย ต่อยอดจากปัจจุบันที่เริ่มเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวดีขึ้นมาอยู่ในระดับล้านคนต่อเดือน ขณะที่ภาคอสังหาก็น่าจะได้ผลบวกจากการที่จีนเคยเป็นผู้ซื้อต่างชาติอันดับหนึ่ง รวมถึงสินค้าและบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวจีน
จุดเปลี่ยนสำคัญของจีนอาจจะอยู่ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งคาดการณ์กันไว้ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3 ของสีจิ้นผิง ซึ่งต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ Goldman Sachs มองว่า การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ อาจไม่ได้ส่งผลบวกต่อหุ้นจีนอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง เนื่องจากนโยบายด้านโควิดที่ยังเข้มงวดและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดย Kinger Lau นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs คาดว่านโยบาย Zero-COVID จะยังคงถูกใช้ต่อไปจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2023
จากข้อมูลในอดีต ดัชนี MSCI China มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 2% สำหรับเดือนก่อนที่จะมีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ในครั้งนี้ดัชนี MSCI China ปรับตัวลดลงมาแล้ว 8% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อ่อนแอกว่าตลาดหุ้นโลกโดยส่วนใหญ่
ทั้งนี้ มุมมองของ Goldman Sachs ค่อนข้างจะเป็นลบมากกว่าความเห็นของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งคาดหวังว่าหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วง 6 เดือนหลังจากผ่านพ้นการประชุมไปแล้ว
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-19/goldman-sachs-says-china-stocks-may-miss-party-congress-boost?sref=CVqPBMVg
- https://www.cnbc.com/2022/09/20/hong-kong-covid-quarantine-policy-leader-says-city-wants-orderly-reopening.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-19/hong-kong-calls-on-finance-firms-to-return-workers-from-abroad?srnd=premium-asia&sref=CVqPBMVg&leadSource=uverify%20wall
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP