ตามรายงานจาก Pictet Asset Management บริษัทจัดการสินทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า เงินหยวนอาจแข็งค่าขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งขึ้น แนวโน้มการเลิกขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) และความเป็นไปได้ว่าดอลลาร์สหรัฐอาจแข็งค่าแตะระดับสูงสุดไปแล้ว
Sabrina Jacobs ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสกองทุนตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ของ Pictet กล่าวอีกว่า เงินหยวนอาจแข็งค่าแตะ 6.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Surplus) ขนาดใหญ่ของจีน ใกล้เคียงกับประมาณการเงินหยวนของนักเศรษฐศาสตร์โดย Bloomberg ซึ่งมีค่ามัธยฐานที่ 6.7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดย Jacobs เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กองทุนของเธอจะซื้อเงินหยวนมากขึ้น หากหยวนอ่อนค่าแตะระดับ 7 หยวน
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเงินหยวนที่ซื้อขายในประเทศจีน (Onshore Yuan) แข็งค่าขึ้นเพียง 0.3% นับว่าแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ในเอเชีย โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนต่างรอสัญญาณบ่งชี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ ทางการจีนมีกำหนดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสแรกของปีในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ข้อมูลในเดือนก่อนแสดงให้เห็นหลักฐานการเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่สูงกว่าประมาณการ
ท่ามกลางความเป็นไปได้ว่า Fed ใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และดอลลาร์สหรัฐใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว ขณะที่มูลค่าของสกุลเงินตลาดเกิดใหม่หลายสกุลยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (Undervalued) อย่างมาก Jacobs กล่าวเสริมว่า กองทุนของเธอจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) พันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของบราซิล อินโดนีเซีย มาเลเซีย และแอฟริกาใต้ เนื่องจากวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของเศรษฐกิจเหล่านี้ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- มาตรการคุมโควิดของจีนจ่อฉุดดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ ตั้งแต่น้ำมัน เหล็ก ถึงถ่านหิน ซึ่งมักพุ่งสูงในช่วงฤดูหนาว
- จริงหรือที่ ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ต่อจากจีน? ถึงขั้นที่การผลิต 1 ใน 4 ของ ‘iPhone’ จะย้ายมาที่นี่ภายในปี 2025
- สีจิ้นผิง ขึ้นเวที G20 เรียกร้องประชาคมโลกจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง: