ถ้านับจากปี 2000 นี่ก็ล่วงมากว่า 19 ปีแล้วกับการเดินทางของภาพยนตร์แฟรนไชส์ X-Men ที่เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อ จีน เกรย์ กลายเป็นผู้มีพลังสูงสุดในจักรวาล จุดสูงสุดของตำนานซูเปอร์ฮีโร่ของแฟรนไชส์นี้
หลังจากที่ X-Men: Dark Phoenix เลื่อนฉายมาหลายครั้ง เพราะต้องถ่ายซ่อมกับฉากจบที่ดันไปคล้ายกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หญิงค่ายเดียวกันที่เข้าฉายไปก่อนหน้านี้
ในที่สุดก็ถึงเวลาอันสมควรที่ตัวละครฟีนิกซ์ในร่างมืดจะแจ้งเกิดในโรงภาพยนตร์ โดยได้ ไซมอน คินเบิร์ก ที่ทำงานเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์มากมายมาลงมือกำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก โดยไซมอนได้หยิบเอาเรื่องราวจากคอมิก X-Men ในตอน The Dark Phoenix Saga ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1980 มาพัฒนาให้กลายเป็นฉบับภาพยนตร์ โดยปรับเนื้อหาขึ้นใหม่เพื่อรีเซตภาคเก่าๆ ทิ้งไป ซึ่งแน่นอนว่าแฟนๆ คอมิกจะได้พบกับสิ่งน่าตื่นเต้นมากกว่าที่เคยอ่านมา
ระหว่างการเดินทางผ่านดวงดาวก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนทำให้ จีน เกรย์ (รับบทโดย โซฟี เทอร์เนอร์) ได้พบเจอกับพลังของฟีนิกซ์ ก่อนที่เธอจะฟื้นขึ้นมากลายเป็น ‘ร่างโฮสต์’ ให้ฟีนิกซ์ ซึ่งมอบพลังมหาศาลที่อยู่เหนือการควบคุมให้กับเธอ นำมาสู่โศกนาฏกรรมความแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นมาในกลุ่ม X-Men
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนตอนที่เธอกลับมาจากอวกาศคือเธอมีพลังในตัวจนควบคุมไม่ได้ และทุกอย่างในตัวจีนมันเพิ่มขึ้นมากจนปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมา มันมีทั้งพลัง ความรู้สึก ความแค้น และกิเลส จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ในชีวิตจริงคือคนที่พวกเขารักและรู้สึกอยากช่วยเขา ซึ่งบางครั้งเราก็ฉุดช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่ และก็มีบางคนที่หมดหวังในตัวพวกเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งคำถามเรื่องนั้นขึ้นมาว่าเราจะยอมปล่อยและหมดหวังในตัวคนที่เรารักเมื่อไร” ไซมอนเล่าถึงประเด็นสำคัญของ X-Men: Dark Phoenix
อย่างที่เราคุ้นหูกันอยู่แล้วว่าฟีนิกซ์เป็นนกไฟอมตะ เปรียบเป็นเทพปกรณัมที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ของพลัง ความบริสุทธิ์ และการฟื้นคืนชีพ ตามตำนานอียิปต์โบราณกล่าวไว้ว่าเมื่อร่างกายของฟินิกซ์สิ้นอายุขัย (500 ปี หรือ 1,461 ปี) ตัวจะลุกเป็นไฟ จากนั้นฟีนิกซ์ก็จะฟื้นจากกองขี้เถ้ามาเป็นนกตัวใหม่
ส่วนฟีนิกซ์ใน X-Men คือพลังคอสมิกลึกลับที่จะแสดงพลังได้สูงสุดเมื่ออยู่ใน ‘ร่าง’ ที่เหมาะสมของ จีน เกรย์ และช่วยเพิ่มพลังของเธอให้ถึงขั้นสูงสุดจนถึงขั้นจัดการกับมิติเวลาได้
สำหรับ จีน เกรย์ ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอคือเด็กสาวคนหนึ่งที่มีพลังเหนือมนุษย์ และพลังดังกล่าวได้สร้างความหวาดกลัวให้กับครอบครัวและคนรอบข้างจนทำให้ ศาสตราจารย์เซเวียร์ (โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์) มารับตัวเธอไปดูแล และได้สร้างเกราะพลังจิตไว้ในหัวของเธอเพื่อให้จีนควบคุมพลังนี้ได้จนกว่าเธอแข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมพลังได้ด้วยตนเอง และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จีนเป็นลูกศิษย์คนโปรด เป็นสมาชิกคนที่ 5 ของ X-Men และได้รับชื่อรหัสคือ ‘Marvel Girl’
X-Men: Dark Phoenix อาจจะเป็นการแก้ตัวจากภาค The Last Stand ที่ได้รับคำติมากกว่าคำชม ซึ่งผู้กำกับไซมอนได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า “ผมตั้งใจทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทสรุปการเล่าเรื่องราวกว่า 20 ปีของ X-Men ถูกรวบรวมมาเพื่อสิ่งนี้ และเป็นการได้เห็นครอบครัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และเรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่ท้าทายความเป็นครอบครัวและเรียกน้ำตาของพวกเขาในทางใหม่ๆ ผมจินตนาการบทสรุปไม่ใช่แค่ของสตูดิโอ แต่มันเป็นเหมือนบทสรุปวัฏจักรเรื่องราวของ X-Men ด้วย… แน่นอนล่ะว่าพวกเขาจะสร้างภาพยนตร์เรื่อง X-Men ต่อไปในอนาคต แต่การเดินทางของทีมนักแสดงชุดนี้ ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะทำในแบบที่ Game of Thrones หรือ Endgame ทำ ผมเห็นพวกเขาพยายามค้นหาทิศทางใหม่ๆ และการพยายามเดินทางไปสู่บทสรุปที่สวยงาม
“ผมคิดมาหลายปีแล้วครับ X-Men ของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ ได้เปลี่ยนโฉมภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ไปเลยในช่วงปี 2000 และมันเป็นเวลาที่นานมาก จริงๆ แล้วมันมีความล้มเหลวอยู่บ้างในช่วงกลางยุค 90 ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้มีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ออกมามากนัก ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาอีกครั้งที่จะต้องเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ การสื่อความรู้สึก แนวทาง และบรรยากาศของภาพยนตร์ ผมไม่ได้หมายถึง X-Men: Dark Phoenix จะเป็นเรื่องเดียวที่ต้องก้าวไปข้างหน้า แต่ไม่ว่าผมหรือใครก็ตามที่จะมากำกับภาพยนตร์เรื่องต่อไป คุณสามารถทำให้มันแตกต่างได้ และคุณก็ควรจะทำให้มันแตกต่างด้วย”
เรามารอติดตามกันว่า X-Men: Dark Phoenix ของผู้กำกับ ไซมอน คินเบิร์ก จะรีเซต จักรวาล X-Men และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีไร่ได้หรือไม่
ภาพ: www.foxmovies.com
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์