การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน เปรียบได้เหมือนกับดาบสองคม ด้านหนึ่งมันคือเครื่องมือที่ช่วยให้การคิดอย่างสร้างสรรค์สามารถทำได้เร็วขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามที่เป็นผู้ไม่หวังดีก็ยิ่งมีโอกาสในการบิดเบือนข้อมูลความจริงได้ง่ายขึ้น จนสามารถนำมาสู่ผลเสียต่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งสังคมในวงกว้าง
ในปีนี้ที่การเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผู้นำของคนกว่า 40% ทั่วโลก การป้องกันเหตุการณ์อย่าง Deepfake ที่ทำขึ้นได้ง่าย และสามารถสวมรอยเข้าถึงคนในวงกว้างในอย่างรวดเร็ว จึงเป็นประเด็นที่สำคัญจนหลายหน่วยงานกังวลว่า หากไม่เร่งแก้ไขมันอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้ง และสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมได้
เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา หนึ่งในตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็คือการปลอมแปลงเสียของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ออกมาบอกให้คนไม่ต้องออกไปลงคะแนนเสียงให้เขาในการเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรก (Primary Election) ณ รัฐนิวแฮมป์เชียร์
เพื่อลดและกำจัดปัญหานี้ ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 กุมภาพันธ์) ณ งาน Munich Security Conference กลุ่มบริษัทผู้พัฒนา AI อย่าง Google, Amazon.com Inc., OpenAI และอีก 17 ผู้เล่นในอุตสาหกรรม ได้ตกลงร่วมกันเพื่อพยายามหาทางป้องกันไม่ให้ AI ถูกนำไปใช้ในการล่อลวงให้ผู้ลงคะแนนเสียงได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และอาจนำไปสู่การเบี่ยงเบนผลการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นปีนี้ในหลายประเทศได้
ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว บริษัททั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Adobe, ByteDance, Meta, X และอื่นๆ ต่างลงนามข้อตกลงที่จะลดความเสี่ยงของ AI ในการสร้างเนื้อหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง โดยพวกเขายังตกลงกันด้วยว่าจะแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางปราบปรามผู้มีจุดประสงค์ที่เข้าข่ายจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเลือกตั้งผ่านโครงการ ‘Tech Accord to Combat Deceptive Use of AI in 2024 Elections’
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่บริษัทเทคโนโลยีต้องทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาแนวทางรับมือภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บริษัท Meta แม้จะมีระบบที่สามารถตรวจจับภาพปลอมได้ แต่มันก็ใช้ได้กับคอนเทนต์ประเภทภาพนิ่งเท่านั้น และยังไม่สามารถทำได้กับวิดีโอหรือคลิปเสียง
“เราไม่ได้นิ่งนอนใจ และปัญหานี้เป็นอะไรที่เราจะจับตามองอย่างใกล้ชิดในตลอดปีนี้” แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI กล่าวในงาน World Economic Forum เมื่อต้นปี
ภาพ: PerlaStudio / Getty Images
อ้างอิง: