กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…
ท่ามกลางราชสีห์ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่าทั้งปวงนั้นก็ยังมีเผ่าพันธุ์ที่ถือเป็นราชันแห่งราชาของพวกมันอีกที เราเรียกขานเผ่าพันธุ์นี้ว่าสิงโตบาร์บารี หรือบ้างก็เรียกอีกชื่อว่า ‘สิงโตแอตลาส’ เพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอตลาสทางตอนเหนือของกาฬทวีป
สิงโตแอตลาสนั้นเป็นสิงโตที่มีขนาดรูปร่างใหญ่โตเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาสิงโตทั้งปวง ทั้งยังมีรูปร่างและท่วงท่าที่สง่างาม โดยเฉพาะขนบนแผงคอที่หนาและมีสีเข้มขรึม
คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่าสิงโตแอตลาสนั้นคือเหล่าผู้อยู่รอดจากโลกยุคน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ เพียงแต่โอกาสที่จะได้พบเห็นราชาแห่งราชสีห์นั้นเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก เพราะพวกมันเหลือประชากรน้อยนิดเพียงหยิบมือ และไม่มีใครพบเห็นตามธรรมชาติมานานแล้ว
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เหล่าสิงโตแอตลาสฝูงหนึ่งได้ปรากฏกายและสร้างเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ขึ้นบนทะเลทรายที่ห่างไกล
เรื่องราวที่กำลังเป็นที่โจษขานกันในโลกของฟุตบอลเวลานี้
เกริ่นมาถึงตรงนี้ทุกคนคงพอจะเดาได้ว่าเรื่องราวนั้นคือเรื่องราวของทีมชาติโมร็อกโก ที่สร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ไม่เพียงแต่สำหรับชาติตัวเองแต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ของทวีปแอฟริกา ในฐานะเป็นทีมชาติแรกของทวีปที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
ความสำเร็จที่ฟังดูเหมือนเรื่องมหัศจรรย์เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้
แน่ละทีมของพวกเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของใครมาก่อนอยู่แล้ว ซ้ำร้ายยังเกิดการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์จะเริ่มได้เพียงแค่ 3 เดือนโดยเป็น วาลิด เรกรากุย อดีตนักเตะทีมชาติที่เข้ามารับตำแหน่งโค้ช ซึ่งปกติแล้วมันควรจะทำให้ทีมขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรงมากกว่า
แต่ทุกอย่างกลับไปเป็นในทางตรงกันข้าม โมร็อกโกค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ดีหลายอย่างภายในทีม ไม่เพียงแต่ในเรื่องความสามารถของผู้เล่นที่เราได้เห็นกันแล้วว่าไม่ธรรมดา แต่ยังมีเรื่องของทีมสปิริตที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญคือหัวใจราชสีห์ที่ไม่กลัวใครทั้งนั้น
เราได้เห็นมาแล้วตั้งแต่รอบแรกเมื่อพวกเขาเอาชนะหนึ่งในทีมระดับท็อปของโลกอย่างเบลเยียมได้ เพียงแต่ก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญและเป็นช่วงสิ้นยุคทองของทีมปีศาจแดงแห่งยุโรป
เราได้เห็นอีกครั้งในการต้านทานสเปน หนึ่งในทีมที่สร้างความประทับใจตั้งแต่เกมแรกของรายการ โดยไม่เพียงแค่ยันสกอร์อยู่แต่ยังสู้แดนกลางที่ถูกมองว่าเป็นระดับเทพของทีมกระทิงดุได้อย่างสบายๆ และใจใหญ่กว่าในช่วงของการดวลจุดโทษที่คว้าชัยชนะได้
คริสเตียโน โรนัลโด ไม่มีโอกาสจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกอีกต่อไป
หากสองเกมนั้นยังไม่ทำให้เราเชื่อ พวกเขาแสดงให้เราได้เห็นกันชัดๆ อีกครั้งในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่หยุดโปรตุเกส ซึ่งก็เป็นอีกทีมที่สร้างผลงานโดดเด่นด้วยการถล่มสวิตเซอร์แลนด์อย่างขาดลอยถึง 6-1 ในรอบก่อนหน้านี้พร้อมกับการแจ้งเกิดของดาวดวงใหม่อย่าง กอนซาโล รามอส ผู้ที่ส่ง คริสเตียโน โรนัลโด ไปอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่สุดท้ายก็เสร็จสิงโตแอตลาส
เกมรับที่แข็งแกร่ง ความแข็งแรงของผู้เล่นที่เหลือเชื่อ สัญชาติญาณนักล่าที่พร้อมขย้ำคอเหยื่อทุกครั้งที่โอกาสเปิดให้
โปรตุเกสทำได้ดีที่สุดเพียงแค่พยายาม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว
ประตูของ ยูสเซฟ เอ็น-เนเซ พาโมร็อกโกกลายเป็น 1 ใน 4 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับความสำเร็จของโมร็อกโกจนถึงตอนนี้ คือการที่พวกเขานั้นไม่ได้มีแค่ชาวโมร็อกโกที่ให้กำลังใจ หากแต่ยังรวมถึงชาวแอฟริกาทั้งทวีป รวมถึงโลกอาหรับที่ร่วมส่งกำลังใจให้ด้วย เพราะโมร็อกโกเป็นเหมือนตัวแทนของพวกเขาไปแล้วในเวลานี้
จากราบัต เมืองหลวงแห่งโมร็อกโกไปจนถึงฉนวนกาซา เสียงเพลงและการเต้นรำเพื่อเฉลิมฉลองดังขึ้นไม่หยุด
และสำหรับคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่มีทีมแบบไหนที่จะน่าเชียร์มากกว่าทีมแบบโมร็อกโกอีกแล้วสำหรับรอบที่เหลือของฟุตบอลโลก
เรื่องราวของเหล่าสิงโตแอตลาสทีมนี้ยังชวนให้คิดถึง ‘เทพนิยาย’ ที่ยิ่งใหญ่ในเกมฟุตบอล 2 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งคือ ‘เทพนิยายเดนส์’ กับการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 1992 ของทีมชาติเดนมาร์ก ที่ความจริงไม่ได้เป็นทีมที่ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบด้วยซ้ำ แค่เป็นมวยแทนของยูโกสลาเวียที่ถูกตัดสิทธิ์เพราะมีเรื่องของสงครามภายในประเทศ
อีกหนึ่งคือ ‘เทพนิยายกรีซ’ กับการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2004 ของทีมชาติจากดินแดนแห่งเทพเจ้า ที่มาแบบไม่มีใครคาดคิดและไม่อยากเชื่อสายตาว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นความจริง
ดูองค์ประกอบของโมร็อกโกในชุดนี้แล้วก็มีสิ่งที่ชวนให้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ในที ทีมที่แข็งแกร่ง สปิริตดีเยี่ยม หัวใจนักสู้ มีดาวเด่นผลัดกันโผล่มานัดละคนสองคน จาก ฮาคิม ซิเยค, อัชราฟ ฮาคิมี มาถึง โซฟียาน บูฟาล, โซฟียาน อัมราบัต, โบโน และ เอ็น-เนเซ
เพียงแต่พวกเขาจะกลายเป็นนิทานเรื่องใหม่ของโลกลูกหนัง – ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพนิยายทั้งสอง – เป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องเป็นคนให้คำตอบกับพวกเราเอง
ชักอยากรู้เหมือนกันว่าตอนจบของนิทานเรื่องนี้จะงดงามเหมือนนิทานทั่วไปหรือไม่
บันทึกเพิ่มเติม
- ทีมชาติอังกฤษยังคงต้องรอคอยการได้ฉลองไปกับเพลง It’s Coming Home ต่อไปอีก 4 ปี หลังสุดท้ายพ่ายต่อฝรั่งเศสไป 1-2
- แฮร์รี เคน ทำประตูที่ 53 ในนามทีมชาติเทียบเท่ากับสถิติตลอดกาลของ เวย์น รูนีย์ ในการยิงจุดโทษตีเสมอ 1-1 แต่พลาดโอกาสในการทำประตูที่ 54 ในการยิงจุดโทษก่อนหมดเวลา 6 นาที และทำให้อังกฤษไม่สามารถไล่ตามฝรั่งเศสได้ทัน
- อย่างน้อย ไคล์ วอล์กเกอร์ ก็เก็บ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ‘ใส่กระเป๋า’ ได้สำเร็จ