คืนที่ดาวเต็มฟ้า
ก่อนสองยามหมู่ดาวอัศวินสีส้มลงสนามก่อนตามกำหนดการ โดยพบกับกาตาร์ ชาติเจ้าภาพผู้ลงทุนมากมายมหาศาล และหวังว่าจะได้อะไรกลับมาบ้างจากฟุตบอลโลกครั้งนี้
น่าเศร้าสำหรับชาวทะเลทราย พวกเขาทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ความพยายามที่จะเล่นให้ดีขึ้นกว่าใน 2 เกมแรก ซึ่งสุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อเนเธอร์แลนด์ไปแบบชอกช้ำ
ความจริงทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล เองก็ไม่ได้ถึงกับเล่นได้ดีหรือน่าประทับใจอะไรมากมาย ความสวยงาม ความเหนือชั้น ความดุดัน ในสไตล์ของอัศวินสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาตินี้ที่เคยมีมายาวนานนับแต่ยุคสมัยของ ไรนุส มิเชลส์ เจ้าตำรับ ‘Total Football’ มันเลือนลางและจางลงจนแทบมองไม่เห็น
กระทั่งฟาน กัลเอง ผู้ถือเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งวงการลูกหนังกังหันลม และเป็นหนึ่งในสายตระกูลอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะมีโอกาสสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้
แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ค้นพบดาวดวงใหม่อย่าง โคดี กักโป ตัวรุกอิสระที่เป็นพระเอกของทีมในเวลานี้
กักโปกลายเป็นนักเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์คนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูในฟุตบอลโลกได้ 3 นัดติดต่อกันต่อจาก โยฮัน นีสเกนส์ (1974), เดนนิส เบิร์กแคมป์ (1994) และ เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ (2010) หลังจากทำประตูขึ้นนำให้เนเธอร์แลนด์ได้ตั้งแต่ต้นเกม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำประตูได้ในเกมกับเซเนกัลและเอกวาดอร์มาแล้ว
เจาะลึกลงไปอีกคือ 3 ประตูของกักโปมาจากการโหม่ง เท้าซ้าย และเท้าขวา อย่างละลูก เรียกว่าครบเครื่องต้มยำ และน่าจะทำให้โทรศัพท์เอเจนต์ของเขากับสโมสรต้นสังกัดอย่างพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ดังไม่ขาดสายอย่างแน่นอนสำหรับตลาดการย้ายทีมในช่วงฤดูหนาว
ใครได้ไอ้หนุ่มคนนี้ไป อาจจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล หรือทีมไหนก็ตาม ถือว่าโชคดี เพราะแม้จะเป็นเพชรที่ยังไม่ได้รับการเจียระไนอย่างสมบูรณ์ แต่เราได้เห็นแล้วว่าเมื่อต้องแสง เขาก็เปล่งประกายอยู่ไม่น้อย
“กักโปยังหนุ่มมาก เขาอายุ 23 ปี แต่ดูเด็กกว่าอายุจริง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ แต่กักโปมีทุกสิ่งสำหรับการเป็นสตาร์” อาจารย์หลุยส์กล่าวชมลูกศิษย์รักคนล่าสุด ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนยังทำได้แค่นั่งดูฟุตบอลโลกที่ไม่มีเนเธอร์แลนด์อยู่เลย
แต่กักโปไม่ได้เป็นดาวดวงเดียวเมื่อคืนนี้
ในเกม ‘The Battle of Britain’ ระหว่างอังกฤษกับเวลส์ มีดาวอีก 2 ดวงที่เปล่งประกายเช่นกัน
มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ฟิล โฟเดน สองนักเตะที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสจากนายใหญ่ แกเร็ธ เซาท์เกต ตอบแทนความไว้วางใจด้วย 3 ประตูที่ช่วยพาอังกฤษผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
คนที่ได้รับการพูดถึงมากกว่าคือแรชฟอร์ด ฮีโร่ของคนทั้งชาติในช่วงโควิดระบาดที่สามารถช่วยชีวิตของเด็กและครอบครัวผู้ยากไร้ได้นับล้านครอบครัว แต่กลับถูกมองว่าเสียสมาธิไปกับการทำหน้าที่นอกสนาม จนลืมงานของตัวเองที่อยู่ในสนาม
คำวิจารณ์รุนแรงเหล่านั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจของแรชฟอร์ดอยู่ไม่น้อย และสถานการณ์ภายในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ย่ำแย่ในช่วงยุคปลายของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ต่อมาถึง ราล์ฟ รังนิก ผู้ที่ คริสเตียโน โรนัลโด ไม่เข้าใจว่าได้รับการแต่งตั้งมาได้อย่างไร ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น
อย่างไรก็ดี แรชฟอร์ดได้พิสูจน์ให้เห็นว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งมากพอ และปัญหานั้นไม่ได้เกิดจากเรื่องของการ ‘ทำเพื่อคนอื่น’ หากแต่เป็นเรื่องของสภาพร่างกายที่กรอบจากการกรำศึกหนักมายาวนาน จนมีปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
เมื่อสภาพร่างกายสมบูรณ์ ได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ในสโมสรที่มีแนวทางการเล่นที่สอดคล้องกัน และมีความเชื่อใจให้ การได้โอกาสลงสนามต่อเนื่องแบบมีบทบาทสำคัญ จำนวนประตูที่เริ่มกลับมา ทำให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมาค้นพบตัวตนคนเก่าที่ครั้งหนึ่งผู้คนอาจหลงลืมไปแล้วว่า เขาเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่อยู่ในคำทำนายเช่นกัน
แรชฟอร์ดไม่ได้ต่างอะไรจากผู้เล่นคนอื่นในทีมชาติอังกฤษที่ทำได้ไม่ดีนักในครึ่งแรกที่พบกับเวลส์ แต่ในครึ่งเวลาหลังด้วยการ ‘เขย่า’ แท็กติกเล็กน้อยจากเซาท์เกต (ผู้ที่สมควรได้รับเครดิตทั้งการตัดสินใจปรับทีมและปรับแท็กติกในเกมนี้) ทำให้นักเตะสิงโตคำรามเริ่มเล่นได้ดีขึ้น
ก่อนที่เขาจะตะบันฟรีคิกจากระยะ 22 หลาเข้าไปอย่างสวยงาม ซึ่งการที่เขากล้าขอโอกาสจะลองจาก แฮร์รี เคน กัปตันทีมที่ควรจะเป็นคนลงดาบก่อน แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีในตัว และเขาก็ไม่ทำให้ตัวเองและใครผิดหวัง
เมื่อทำประตูได้ เขาชูมือขึ้นฟ้า จนกลายเป็นคำถามว่ามีนัยใดหรือไม่? ซึ่งคำตอบที่ได้อาจทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเขาจึงดูมีบางอย่างซ่อนอยู่ในการเล่นเกมนี้
เขาเพิ่งสูญเสียเพื่อนที่จากไปด้วยโรคมะเร็ง ประตูสำคัญนี้จึงถูกมอบให้แก่เพื่อนผู้จากไปคนนั้น
สตาร์วัย 25 ปี ทำได้อีกหนึ่งประตูด้วยหลังจากนั้น ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งคนที่นำดาวซัลโวฟุตบอลโลกในเวลานี้ร่วมกับกักโป, คีเลียน เอ็มบัปเป และ เอนเนอร์ วาเลนเซีย ซึ่งโชคร้ายที่เอกวาดอร์ไม่สามารถไปต่อได้ไกลกว่านี้
เรื่องราวในวันนี้ยังเป็นเหมือนการล้างบาดแผลที่เกิดขึ้นในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาเลวร้ายที่ยาวนานร่วมปีสำหรับแรชฟอร์ดด้วย เกมนี้คือนัดแรกที่เขาได้กลับมาเป็นตัวจริงให้อังกฤษอีกครั้ง และหวังว่าหลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีอีกครั้งอย่างแท้จริง
ฟิล โฟเดน เป็นอีกหนึ่งคนที่คว้าโอกาสของตัวเองได้สำเร็จ หลังจากที่ต้องอดทนรอคอยเวลาของตัวเองมาตลอดใน 2 เกมแรก และกลายเป็นแรงกดดันสำหรับ แกเร็ธ เซาท์เกต ที่ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่ยอมเลือกใช้งานหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในฟุตบอลโลก
เซาท์เกตผู้ยึดหลักของความ ‘เชื่อใจ’ ยังคงศรัทธาในตัวของ เมสัน เมาท์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ บูกาโย ซากา เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงเองหรือเพราะถูกกระแสกดดันเหมือนเมื่อ 18 เดือนที่แล้วที่ไม่ยอมใช้งาน แจ็ค กรีลิช ทำให้เขายอมส่งโฟเดนลงสนามเป็นตัวจริง
ประตูของโฟเดนในช่วงครึ่งซึ่งมาต่อจากประตูแรกของแรชฟอร์ด เป็นคำตอบจากนักเตะพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งเท่าที่อังกฤษมีมาในช่วง 10 ปีนี้ว่า ขอแค่ได้รับโอกาส ได้เล่นในตำแหน่งที่เหมาะสม ผลตอบแทนการลงทุนย่อมคุ้มค่าความเสี่ยงอย่างแน่นอน
ขณะที่อีกฟากของกาตาร์ คริสเตียน พูลิซิช ได้ทำหน้าที่ ‘กัปตันอเมริกา’ ของเขาในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างฟุตบอลโลกสำเร็จแล้ว
มันอาจเป็นแค่ประตูโทนที่ช่วยพาสหรัฐอเมริกาเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ประตูนี้มีความหมายอย่างมาก ไม่เฉพาะต่อทีม แต่ต่อแฟนๆ ‘ซ็อกเกอร์’ ในบ้านเกิดที่เวลานี้กำลังเกิดกระแสฟีเวอร์ต่อทีม USMNT อีกครั้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมานานหลายปี
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพูลิซิช ซึ่งเป็นเด็กในคำทำนายมายาวนาน แต่ยังไม่อาจแสดงให้ประจักษ์ได้ว่าเขาคือกัปตันอเมริกาตัวจริงของยุคนี้
ดังนั้นแม้จะต้องแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บชนิดเสียวท้องน้อยแทน และต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อเช็กอาการทันทีว่ากล่องดวงใจเป็นอะไรหรือไม่ (ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก) แต่ประตูของพูลิซิชไม่ต่างอะไรจากคำทำนายที่ได้กลายเป็นความจริง
มีความเป็นไปได้ที่ประตูนี้จะปลดพันธนาการทางใจของนักฟุตบอลผู้เปี่ยมพรสวรรค์คนนี้ให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้เล่นในอีกระดับ ระดับที่ทุกคนคาดหวังกับเขามานานหลายปี
เมื่อคืนนี้พูลิซิชจึงเป็นอีกหนึ่งดวงดาวที่ส่องแสงบนนั้น
คืนนี้ดาวเต็มฟ้า คุณก็มองเห็นเหมือนกันใช่ไหม?
บันทึกเพิ่มเติม
- เห็นใจเอกวาดอร์ หนึ่งในทีมที่ประทับใจมากที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เล่นดี ใจสู้ แต่ต้องยอมรับว่าเซเนกัลก็สมราคาแชมป์แอฟริกาจริงๆ
- กาตาร์อาจต้องทบทวนแนวทางฟุตบอลสร้างชาติใหม่ มองเห็นได้ชัดว่าพื้นฐานดี แต่ประสบการณ์อ่อนเกินไปเมื่อเจอของจริงระดับโลก
- จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้โอกาสลงเล่นตัวจริงให้อังกฤษ และขับเคลื่อนเกมแดนกลางได้อย่างน่าประทับใจ
- เกิดขบวนการทวงคืน ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก หลังจาก นาย ณภัทร เปิดเผยว่า ได้บอกความในใจไปแล้วว่าล้ำเส้นเกินความเป็นเพื่อน (ไม่เกี่ยวกับฟุตบอลโลก แต่ขอบันทึกไว้ด้วย!)