ชุส ฟงแต็ง, มิเชล พลาตินี, ซีเนดีน ซีดาน, เธียร์รี อองรี คือรายนามเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของทีม ‘เลส์ เบลอส์’ วันวาน
แต่หลังจากนี้เราอาจต้องเติมชื่อของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป เข้าไปเพิ่ม
สองกองหน้าต่างวัยที่ดูแตกต่างกันในแทบทุกด้าน คือผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถสยบโปแลนด์ คู่แข่งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ลงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย โดยที่ต่างมีช่วงเวลาที่น่าจดจำของตัวเองในเกมนี้
เสียงสรรเสริญดังขึ้นก่อนสำหรับชิรูด์ หัวหอกที่ความจริงแล้วอาจจะคู่ควรกับนิยามของคำว่า ‘Impossible is Nothing’ มากกว่าใครเพื่อน เพราะสิ่งที่ชิรูด์ทำให้เห็นในฟุตบอลโลกครั้งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของใครต่อใครอย่างแท้จริง
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น ชื่อของชิรูด์ไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดของแฟนบอลฝรั่งเศสและแฟนบอลทั่วโลกเมื่อพูดถึงแนวรุกของแชมป์เก่าในปี 2018 ที่ต้องการจะเป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้
สาเหตุนั้นเรียบง่าย เพราะฝรั่งเศสมีคู่ศูนย์หน้าที่ดีและเก่งกาจที่สุดของโลกอย่าง คาริม เบนเซมา ผู้บรรลุศาสตร์ของเกมลูกหนังในวัย 34 ปี และเป็นนักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ที่สง่างามที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่อีกคนคือนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่ามีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งไม่มีสองของโลกใบนี้อย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป
ไม่มีใครคิดถึงชิรูด์มาก่อน แม้แต่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่คิดถึงการสอดแทรกสองคนนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวหลักในทีมฝรั่งเศสอีกสมัย
แต่เมื่อโชคชะตาเล่นงานเบนเซมาให้คลาดจากฟุตบอลโลกที่อาจจะเป็นสมัยสุดท้ายของเขาแบบเจ็บแสบที่สุดในช่วงโค้งสุดท้าย โอกาสก็กลับมาเป็นของชิรูด์ กองหน้าผู้ถูกปรามาสอย่างหนักมาตลอดชีวิต โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 2018 ที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกโดยที่ทำประตูไม่ได้เลยทั้งที่เป็นกองหน้า
สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่ชิรูด์เผชิญมาโดยตลอดชีวิต กับการเป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับและยกย่องในคุณค่าของเขาอย่างที่ควรจะเป็น
หากยังจำกันได้ เบนเซมาเคยเหยียดหยันเขาว่าเป็นเหมือนรถ ‘คาร์ต’ ในขณะที่ยกตัวเองว่าเป็นรถ ‘เอฟวัน’ ที่ไม่มีวันแข่งกันได้
แต่ชิรูด์ไม่เคยโต้ตอบด้วยวาจาหรืออารมณ์ ทุกครั้งที่มีใครสงสัยคุณค่าในตัวของเขา กองหน้าผู้นี้จะตอบอย่างเงียบๆ ด้วยผลงานในสนามเสมอ
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็เช่นกัน ในขณะที่คนจำนวนมากบ่นเสียดายการหายไปของเบนเซมาที่กำลังอยู่ในช่วงท็อปพีคของชีวิต ชิรูด์ในวัย 36 ปีก็ทำให้ทุกคนต้องเงียบกริบด้วยผลงานการเล่นที่ยอดเยี่ยมทุกครั้งที่ลงสนาม รวมถึงในเกมกับโปแลนด์
ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ดาวยิงผู้นี้คือคนที่สร้างความแตกต่างครั้งแรกในเกม ด้วยการทำประตูอย่างเยือกเย็นและเหนือชั้นด้วยการชิงเหลี่ยมสลัดหนีตัวประกบ สร้างพื้นที่และโอกาสให้ตัวเอง และจบสกอร์ด้วยการยิงหักข้อเสียบมุมเข้าไป
ประตูนี้กลายเป็นประตูประวัติศาสตร์ทันที เพราะนับจากนี้ชื่อของดาวซัลโวสูงสุดของทีมชาติฝรั่งเศสจะไม่ใช่ชื่อของ เธียร์รี อองรี ตำนานกองหน้าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นอีกต่อไป หากแต่จะเป็นชื่อของชิรูด์ กองหน้าที่แทบไม่มีใครคิดถึงแทน ด้วยผลงาน 52 ประตูในนามทีมชาติจากการลงสนาม 116 นัด
และประตูนี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ใช่กองหน้าทื่อๆ ที่เชื่องช้าธรรมดาๆ หากแต่เป็นอีกหนึ่งคนที่บรรลุศาสตร์การเล่นชั้นสูงสำหรับตำแหน่ง ‘Target Man’ หรือกองหน้าตัวเป้า
โดยที่เรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องของ ‘เทคนิค’ ที่มีเต็มเปี่ยม เพราะหลังจากที่ยิงประตูนำได้แล้ว เรายังได้เห็นชิรูด์โชว์การ ‘สะกิดบอล’ เปลี่ยนทางนิดเดียวที่เกือบเป็นประตู และที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างคือการกระโดดตีลังกายิงประตูเข้าไปอย่างสวยงาม ติดเพียงแค่ผู้ตัดสินให้เป็นจังหวะก่อนหน้านั้นมีการทำฟาวล์ไปก่อน
อย่างไรก็ดี ชิรูด์ไม่ได้มีดีแค่นี้ เขายังมีส่วนกับประตูที่ 2 ของฝรั่งเศสด้วย
ในจังหวะสวนกลับที่เหมือนไม่น่ามีอะไร ชิรูด์โชว์ทักษะการดูดบอลลงอย่างนุ่มนวลโดยที่สามารถเล่นต่อได้เลย และตรงนี้เองที่สำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนจังหวะ (Transition) จากรับเป็นรุกของฝรั่งเศสทันที
อุสมาน เดมเบเล ที่วิ่งไวราวกับเสือชีตาห์ เติมขึ้นมาช่วยทางฝั่งขวารับช่วงต่อ ขณะที่ชิรูด์เองทำหน้าที่แบบเงียบๆ ด้วยการวิ่งทำทางดึงตัวประกบให้เสียสมาธิ
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปิดพื้นที่ เวลา และโอกาส ให้กับเอ็มบัปเป ที่กวดตามมาอีกคนทางฝั่งซ้าย ก่อนที่เดมเบเลจะไหลมาให้เพื่อนได้มีโอกาสจับ แต่ง และวางเท้ายิงอย่างหนักแน่นราวกับเครื่องยิงจรวดเสียบตาข่ายเข้าไปอย่างสวยงาม
เมื่อพูดกันในเรื่องเทคนิคแล้ว หากชิรูด์คือตัวแทนของผู้มีพรแสวงที่ผ่านการขัดเกลาฝึกฝนตัวเองมาอย่างหนัก เอ็มบัปเปก็เป็นอีกด้านในฐานะตัวแทนของพรสวรรค์ที่เกิดมาเพียบพร้อมไปทุกสิ่ง
ถึงจะยังดูเด็กและใจร้อนในหลายครั้ง แต่ในจังหวะการจบสกอร์ลูก 2-0 ของเอ็มบัปเป มันคือกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นภาพของพรสวรรค์ที่อัดแน่นในตัวของเด็กคนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน เพราะเทคนิคการยิงของเขานั้นเหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไร เป็นสิ่งที่บางครั้งไม่สามารถฝึกสอนได้
ที่สำคัญคือเอ็มบัปเปไม่ได้แสดงให้เห็นแค่ครั้งเดียว แต่แสดงให้เห็นถึง 2 ครั้งกับประตู 3-0 ด้วยการหาจังหวะในกรอบเขตโทษ ก่อนจะวางเท้าเหมือนปั่นโค้ง แต่บอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมอย่างแม่นยำ หมดสิทธิ์ที่ผู้รักษาประตูจะหาทางป้องกันได้
เทคนิคการยิงระดับนี้หาได้ยากยิ่งแม้ในหมู่ยอดกองหน้าด้วยกัน เพราะเป็นเทคนิคการยิงที่ ‘คลีน’ และยังมีความ ‘แม่นยำ’ ในระดับสูงสุด
เปเลเป็นหนึ่งในนั้น และบางทีอาจจะมี เฟเรนซ์ ปุสกัส อีกคน
แต่นี่ไม่ใช่เทคนิคการทำประตูแบบเดียวที่เขาทำได้ เพราะเอ็มบัปเปยิงได้ทุกรูปแบบ และคนที่พูดแบบนี้คือ ‘ฮอตชอต’ อลัน เชียเรอร์ ตำนานศูนย์หน้าผู้ยิ่งใหญ่ในยุค 90 ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการยกย่องว่ายิงได้ทุกรูปแบบเหมือนกัน
2 ประตูในวันนี้ยังทำให้กองหน้าวัย 23 ปี ทำประตูในฟุตบอลโลกไปแล้วถึง 9 ประตูจากการเล่นแค่ 2 สมัย โดยที่ยิงในฟุตบอลโลกหนนี้ไปแล้วถึง 5 ประตู นำดาวซัลโวเดี่ยว และชวนให้คิดว่าหากเขาและฝรั่งเศสยังเล่นในฟอร์มแบบนี้ไปจนสุดทาง
นี่จะเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่ามันถึงยุคสมัยของ ‘KM’ แล้ว
เพียงแต่จะเป็นเช่นนั้นไหม ทีมชาติอังกฤษจะเป็นผู้ให้คำตอบในรอบหน้า เกมที่ตอนนี้มีค่าเหมือน Dream Final ที่มาก่อนกาล
ภาพนี้ทำให้แฟนลิเวอร์พูล ‘คิดไกล’
บันทึกเพิ่มเติม
- โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี อีกหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่ ทำได้ดีมากที่สุดคือประตูปลอบใจจากลูกจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้โปแลนด์ ที่เป็นเหมือนของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายจากฟุตบอลโลกครั้งนี้ และคงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเล่นของเขาแล้ว
- ความจริงเด็กมหัศจรรย์อีกคนที่เปรี้ยงไม่แพ้กันคือ จูด เบลลิงแฮม ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่อังกฤษคว้าชัยชนะเหนือเซเนกัลได้อย่างสบายๆ 3-0
- โดยคนที่มีความสุขที่สุดคือแฟนลิเวอร์พูลทั่วโลก ที่ได้เห็นการ ‘จิ้น’ กันระหว่างเฮนเดอร์สันกับเบลลิงแฮม และฝันว่าคู่นี้จะมีโอกาสได้เล่นร่วมกันในเสื้อสีแดงเพลิง
- แฮร์รี เคน (เดอ บรอยน์) ปลดล็อกยิงประตูในฟุตบอลโลกได้สำเร็จ