เศรษฐกิจโลกยังมืดมนจากหลายวิกฤตทับซ้อน มุมมองจากนักธุรกิจและผู้นำรัฐบาลบนเวที World Economic Forum

บรรดาผู้นำทางการเมืองและนักธุรกิจระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งมารวมตัวกันที่การประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ในเวลานี้ ต่างมองภาพรวมแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ว่าจะเป็นไปในทางร้ายมากกว่าดี เนื่องจากเผชิญปัจจัยเสี่ยงที่ขัดขวางการฟื้นตัวมากมาย

อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อสูงในประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ และสหภาพยุโรป ฉุดรั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และสั่นคลอนเสถียรภาพของตลาดการเงิน บีบให้ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย เสี่ยงทำให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น

ยังไม่นับรวมปัจจัยกดดันจากปัญหาสงครามในยูเครน และการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลจีน

โรเบิร์ต ฮาเบค รองนายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ทั่วโลกขณะนี้กำลังเจอกับวิกฤตอย่างน้อย 4 วิกฤตพร้อมๆ กันคือ เงินเฟ้อพุ่ง พลังงานแพง อาหารขาดแคลน และภาวะโลกร้อน และหนทางแก้ไขปัญหาต้องทำควบคู่กันไปทั้งหมด ไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งก่อนได้

ฮาเบคกล่าวว่า ถ้าไม่สามารถปลดล็อกปัญหาวิกฤตเหล่านี้ได้ เกรงว่าโลกจะได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยและสั่นคลอนเสถียรภาพอย่างรุนแรง

ด้าน คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตือนว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อเป็นขั้วตรงกันข้ามกัน เพราะยิ่งเงินเฟ้อสูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกดดันให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง และกำลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคหดตัวมากขึ้นเท่านั้น

ขณะเดียวกันลาการ์ดได้ให้คำมั่นที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมและกันยายน เพื่อหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อ แม้ว่าต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อการเติบโตก็ตาม

ขณะที่ เจน เฟรเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Citigroup ออกมาฟันธงว่าเศรษฐกิจของยุโรปในเวลานี้กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยแน่นอนแล้ว โดยมีสาเหตุสำคัญมากจากสงครามยูเครน ที่ทำให้ยุโรปโดนปิดล็อกทั้งในเรื่องของพลังงานและอาหาร เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP