ประธานธนาคารโลก (World Bank) อาเจย์ บังกา กล่าวระหว่างการเข้าร่วม China Development Forum ที่ประเทศจีน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 มีนาคม) ว่า ขณะนี้ธนาคารโลกเตรียมจะเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารมากขึ้น รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันเพื่อดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนไปยังประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้วบังการะบุว่า Wolrd Bank สามารถระดมเงินทุนภาคเอกชนมูลค่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับตลาดเกิดใหม่ และระดมทุนอีก 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากภาคเอกชนสำหรับการออกพันธบัตร ซึ่งแม้จะถือเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความคืบหน้ามากกว่านี้ และทาง World Bank ก็กำลังดำเนินการในหลายด้าน เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
คำมั่นดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังชะลอตัวลง โดยการเติบโตลดลงเหลือเพียง 4% จาก 6% ในรอบ 20 ปี โดย World Bank ตั้งข้อสังเกตว่า เปอร์เซ็นต์ที่สูญเสียไปแต่ละเปอร์เซ็นต์มีผลทำให้ประชาชน 100 ล้านคนเข้าสู่ความยากจน ขณะที่ระดับหนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันบังกายังตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศกำลังพัฒนาขณะนี้กำลังเผชิญกับช่องว่างมหาศาลที่ ‘เกินกว่าจะจินตนาการได้’ (Unimaginable) ระหว่างคนหนุ่มสาว 1.1 พันล้านคนที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงสิบปีข้างหน้า กับตำแหน่งงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพียง 325 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น World Bank ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในการศึกษาปัจจัยต่างๆ เพื่อบรรเทาแนวโน้มปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงหาแนวทางในการปรับปรุงระบบของ World Bank ในการให้ความช่วยเหลือ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว World Bank ได้ประกาศการปฏิรูปที่จะรวมโครงสร้างสินเชื่อและการรับประกันการลงทุนและเพิ่มการค้ำประกันประจำปีเป็น 3 เท่า หรือ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
ยิ่งไปกว่านั้นบังกายังระบุด้วยว่า เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป World Bank และกลุ่มสถาบันการพัฒนา จะเริ่มเผยแพร่ข้อมูลการฟื้นตัวภาคเอกชนตามระดับรายได้ของเทศมณฑล เพื่อเป็นขั้นตอนในการสร้างแรงบันดาลใจความเชื่อมั่นของนักลงทุน พร้อมเผยแพร่ประวัติการผิดนัดชำระหนี้ของภาคเอกชนโดยแยกตามอันดับเครดิต ตลอดจนสถิติการผิดนัดชำระหนี้และอัตราการฟื้นของเอกชนแต่ละรายตัวย้อนหลังไปถึงปี 1985 โดยความเคลื่อนไหวทั้งหมดของ World Bank มีเป้าหมายอยู่ที่การที่เอกชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับทุนสนับสนุนที่มากขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศและทำให้เกิดการสร้างงาน
นอกจากนี้บังการะบุเพิ่มเติมว่า World Bank ยังได้วางแผนทำงานระยะยาวในการสร้างแพลตฟอร์มการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้กองทุนบำเหน็จบำนาญและนักลงทุนสถาบันอื่นๆ นำเงิน 70 ล้านล้านดอลลาร์สู่ตลาดเกิดใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งประธาน World Bank ชี้ว่า การรวมการลงทุนที่ได้มาตรฐานขนาดใหญ่ไว้ในแพ็กเกจเดียว จะส่งเสริมการลงทุนที่มีความหมายในวงกว้าง แก้ปัญหาการปะปนกันของสินเชื่อขนาดเล็กที่ออกแบบตามความต้องการ ซึ่งแต่ละรายมีเอกสาร ความเสี่ยง และราคา เป็นของตัวเอง
บังกาปิดท้ายด้วยการชื่นชมจีนสำหรับการเดินทางอันน่าทึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานหลายร้อยล้านตำแหน่ง การลดความยากจนลงอย่างมาก และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้จีนจากที่เคยเป็นผู้กู้รายใหญ่ของ World Bank กลับกลายเป็นหนึ่งในผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของธนาคารในปัจจุบัน
อ้างอิง: