วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิด 3 ทางออกวิกฤตการคลังไทย ย้ำการปรับสมดุลการคลังต้อง ‘ครบวงจร’ แก้ทั้งด้านรายจ่าย รายได้ และกลไกกฎหมาย ซึ่งรวมไปถึงการขยาย VAT อย่างเหมาะสม และตั้งเป้ากลับไปขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 3% ของ GDP
วันที่ 23 กันยายน วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ผ่าน Facebook โดยระบุว่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หลังวิกฤต COVID-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) ซึ่งหมายถึง ‘พื้นที่หายใจ’ ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด
หนี้สาธารณะ: แรงกดดันที่เข้าใกล้เพดาน
วรภัคระบุว่า หนี้สาธารณะ ของไทยมีแนวโน้มจะไต่ระดับขึ้นไปแตะประมาณ 65% ต่อ GDP ภายในปี 2568 และที่น่ากังวลคือภาระดอกเบี้ยจ่ายอาจสูงเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล แม้จะยังไม่ทะลุเพดานหนี้ที่ 70% แต่ก็เข้าใกล้ ‘กันชนสุดท้าย’ ที่ IMF ประเมินไว้ “ซึ่งหากเศรษฐกิจเกิดชะลอตัวพร้อมกับภาวะดอกเบี้ยโลกที่ยังคงสูงต่อเนื่อง อาจทำให้อัตราส่วนหนี้พุ่งทะลุกรอบและบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาดการเงินได้”
รายได้ภาครัฐ: โครงสร้างจัดเก็บที่อ่อนแรง
ในด้านรายได้ วรภัคระบุว่า สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ต่ำกว่ามาตรฐานโลกที่ราว 3% โดยมีจุดอ่อนสำคัญ คือ แรงงานนอกระบบที่มีสัดส่วนสูงกว่า 50% และไม่มีภาษี Capital Gain Tax ซึ่งวรภัคย้ำว่า คงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะเวลาอันใกล้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังก็ยังห่วง ภาษีทรัพย์สินและมรดกที่ต่ำ เช่นเดียวกับ VAT ยังคงต่ำที่ 7% ขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น ท่ามกลางภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่ รายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง
วรภัคจึงห่วงว่า “หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อ GDP จะไม่ขยับ ทำให้เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ”
รายจ่ายภาครัฐ: ภาระที่ขยายตัวต่อเนื่อง
วรภัคกล่าวอีกว่า ค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด พร้อมๆ กับกองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ
ดังนั้น “หากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม ‘รายจ่ายลงทุนเทียม’ จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว”
โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม: กับดักเชิงโครงสร้าง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า สังคมผู้สูงอายุทำให้รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง ระดับหนี้ครัวเรือนสูงที่ 90% ต่อ GDP ก็ทำให้บริโภคชะลอ, VAT อ่อนแรง
ขณะที่ แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศทำให้ฐานภาษีแคบ ท่ามกลางภาวะที่ความเหลื่อมล้ำสูง โดย 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน
นอกจากนี้ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และพลังงาน ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน โดยไทยติดอันดับ 9 โลกในดัชนีความเสี่ยง Climate risk ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น
ดังนั้น “Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่งหรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที” วรภัคกล่าว
เปิดทางออก ‘วิกฤตการคลัง’
วรภัคยังระบุว่า ทางออกการปรับสมดุลการคลังต้อง ‘ครบวงจร’ ผ่าน 3 ด้านหลัก ดังนี้
- รายจ่าย: จำกัดการโตของเงินเดือน-บำนาญ-สวัสดิการ, ปฏิรูปกองทุนเกษียณ
- รายได้: ปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน, เพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ
- กลไกกฎหมาย: ใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัด, กลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้น
พร้อมกล่าวย้ำว่า รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก ‘กระดาษขาว’ แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลังทุกด้าน – หนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม – กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ
“โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริง” เพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” วรภัคกล่าวทิ้งท้าย