Wonka ภาพยนตร์มิวสิคัล-แฟนตาซีส่งท้ายปี ที่ได้แรงบันดาลใจจากนิยายสำหรับเด็กสุดคลาสสิกในชื่อ Charlie and the Chocolate Factory (1964) ของนักเขียน Roald Dahl ซึ่งเคยถูกนำมาดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์ยอดฮิตมาแล้วถึงสองครั้ง ได้แก่ Willy Wonka & the Chocolate Factory (1971) นำแสดงโดย Gene Wilder และ Charlie and the Chocolate Factory (2005) นำแสดงโดย Johnny Depp
โดยครั้งนี้ผู้ชมจะได้ไปติดตามเรื่องราวต้นกำเนิดของ Willy Wonka นักทำช็อกโกแลตเปี่ยมจินตนาการ ก่อนที่เขาจะก่อตั้งโรงงานช็อกโกแลตสุดยิ่งใหญ่ โดยได้ Paul King ที่เคยสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมมาแล้วใน Paddington (2014) และ Paddington 2 (2017) มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วย David Heyman จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Harry Potter มาดูแลในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ และนักแสดงที่น่าจับตามองอย่าง Timothée Chalamet จาก Dune (2021) มาสวมบทเป็น Willy Wonka วัยหนุ่ม
เมื่อกล่าวถึงชื่อของ Charlie and the Chocolate Factory ภาพแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในหัวของผู้เขียนเห็นจะเป็นภาพของ Charlie and the Chocolate Factory ฉบับปี 2005 เป็นส่วนใหญ่ ทั้งภาพลักษณ์และการแสดงอันโดดเด่นของ Johnny Depp ในบทบาท Willy Wonka รวมถึงงานสร้างและการเล่าเรื่องที่มีเอกลักษณ์ของผู้กำกับ Tim Burton
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า Wonka ของผู้กำกับ Paul King จะได้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากฉบับของ Willy Wonka & the Chocolate Factory ในปี 1971 อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบของภาพยนตร์มิวสิคัล หรือจะเป็นการออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวละคร Oompa Loompa ที่คล้ายกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า Wonka จะมีจุดเชื่อมโยงหรือได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สองเรื่องที่ผ่านมาอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์ฉบับนี้ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากๆ คือ การพาผู้ชมเข้าไปทำความรู้จักกับ Willy Wonka อย่างครบถ้วนทุกแง่มุม
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ต้นกำเนิดของตัวละครชื่อดัง เชื่อว่าผู้ชมหลายคนน่าจะทราบถึงจุดหมายปลายทางของตัวละครนั้นๆ กันบ้างอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตาใน Wonka เห็นจะเป็นเรื่องราวระหว่างทางว่าผู้กำกับและทีมสร้างจะนำเสนอที่มาที่ไปของ Willy Wonka ออกมาในรูปแบบไหน
และจุดเด่นประการแรกที่เราอยากกล่าวถึงคือฉากและบทเพลงในพาร์ตมิวสิคัลที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะการนำเสนอความเพ้อฝันของ Willy Wonka ผ่านงานภาพและบทเพลงเปี่ยมจินตนาการในฉากเปิดเรื่อง ซึ่งช่วยเน้นย้ำให้เราเห็นถึงคาแรกเตอร์และแรงปรารถนาของตัวละครนี้อย่างเด่นชัดตั้งแต่แรกเริ่ม
โดยหนึ่งในฉากมิวสิคัลที่ส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบและอยากกล่าวถึงเป็นการส่วนตัว คือฉากที่ Wonka และ Noodle (Calah Lane) แอบเข้าไปในสวนสัตว์ และได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวในอดีตให้กันฟัง ก่อนที่ Wonka จะให้สัญญาว่าจะช่วยทำความฝันของเธอให้เป็นจริง โดยนอกจากฉากนี้จะถูกนำเสนอผ่านงานภาพเพ้อฝันและบทเพลงอันไพเราะ มันยังพาเราเข้าไปสำรวจแง่มุมอันอบอุ่นของ Wonka และความผูกพันที่เขามีต่อผู้เป็นแม่ (Sally Hawkins) อีกทั้งมันยังส่งผลไปถึงฉากสุดท้ายของเรื่องที่สรุปใจความสำคัญของเรื่องราว และสามารถสร้างความประทับใจแก่เราได้ดีอีกด้วย
ซึ่งเราต้องขอปรบมือให้กับการแสดงของ Timothée Chalamet ที่ร่ายมนตร์สะกดให้เราไม่อาจละสายตาไปจากตัวละคร Wonka ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นแววตา ท่าทาง การขับร้องบทเพลงอันไพเราะ ไปจนถึงการถ่ายทอดแง่มุมของ Wonka ที่ไม่ยอมทอดทิ้งความฝันในการเปิดร้านช็อกโกแลตของตัวเอง และพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจ จนเรียกได้ว่าเขาสามารถทำให้เราตกหลุมรักตัวละครนี้ได้ตั้งแต่ฉากแรกที่ปรากฏตัวจริงๆ
ขณะเดียวกัน ภายใต้เรื่องราวเปี่ยมจินตนาการเหล่านี้ Wonka ยังสอดแทรกประเด็นที่หนักหน่วงไว้เช่นกัน กับเรื่องราวของ Wonka ที่ต้องต่อสู้กับกลุ่มพ่อค้าช็อกโกแลตหน้าเลือดที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้เขาเปิดร้านของตัวเอง ไปจนถึงการติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งแม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะถูกเล่าอย่างโจ่งแจ้งและเปี่ยมอารมณ์ขัน แต่การกระทำของบางตัวละครในเรื่องก็น่าจะทับซ้อนกับภาพของโลกความจริงได้ไม่ยากเช่นกัน
ในภาพรวมแล้ว สำหรับผู้เขียน Wonka เป็นภาพยนตร์มิวสิคัล-แฟนตาซีที่เหมาะมากๆ กับการตีตั๋วไปเข้าชมในบรรยากาศส่งท้ายปี เพราะนอกจากเรื่องราวต้นกำเนิดของ Willy Wonka และความสัมพันธ์ของตัวละครรอบข้างที่ถูกนำเสนอมาได้อย่างอบอุ่น รวมถึงการแสดงของ Timothée Chalamet ที่เปี่ยมเสน่ห์ เชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยเติมเต็มรอยยิ้มและความฝันให้กับผู้ชมได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
Wonka เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่:
ภาพ: Warner Bros. Pictures