วันนี้ (2 มิถุนายน) วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ระบุถึงกรณีที่ จเด็จ อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ออกมาให้ความเห็นถึงการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติมีแนวโน้มความเป็นไปได้หรือไม่ว่าตนไม่ทราบ ตนไม่รู้เรื่อง ตนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำนี้หมายถึงอะไร เพราะว่าประเทศไทยไม่เคยมี แต่ต่างประเทศเขาเคยมี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อเกิดปัญหาทางการเมือง มักจะมีคำว่ารัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้น วิษณุระบุว่าก็เป็นธรรมดา เมื่อตกอยู่ในเหตุเหมือนจมน้ำ เกิดไฟไหม้ หรือเกิดตึกถล่ม มีอะไรคว้าได้ก็ต้องคว้า คิดอะไรออกก็คิด ก็ไม่แปลกที่จะคิดแล้วก็เสนอความคิดออกมา แต่หากสังคมไม่ยอมรับก็ควรจะหยุดคิด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องให้มีรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่ วิษณุกล่าวว่าตนไม่ทราบ ต้องไปถามจเด็จ ส่วนข้อเสนอของจเด็จที่จะให้ยกเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเพื่อเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ยืนยันว่าทำไม่ได้ ยกเว้นไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญมี 200 กว่ามาตรา จะไปยกเว้นได้อย่างไร แต่สมัยที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเคยยกเว้น แต่นั่นคือการยึดอำนาจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการจะมีรัฐบาลแห่งชาติสถานการณ์ควรอยู่ในระดับใด วิษณุกล่าวว่าตนไม่ขอตอบ ช่วยไปถามคนอื่นก็แล้วกัน ถ้าตนตอบ ตนก็เหมือนไปรับลูกจเด็จ อีกคนหนึ่งเป็นปี่ อีกคนหนึ่งเป็นขลุ่ย ตนไม่ควรตอบอะไรแล้ว
ส่วนกระแสกดดันให้ ส.ว. โหวตเลือก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหน้าที่ของ ส.ว. ต้องโหวตตามเสียงข้างมาก หรือทำตามที่มาของเจตนารมณ์การเป็น ส.ว. วิษณุกล่าวว่าตนไม่ขอตอบ แต่ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือ ส.ว. พรรคจะไปบังคับให้โหวตไม่ได้ เขามีอิสระ รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้เลย แต่ในเรื่องอื่นต้องโหวตตามพรรค และในเรื่องไหนบ้างที่โหวตตามใจ
ส่วนพรรคก้าวไกลพยายามออกมาเรียกร้องให้ ส.ส. ที่ต้องการตัดอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมาก วิษณุระบุว่าตนไม่ทราบ แต่เมื่อสมัยการเลือกตั้งปี 2562 ตอนที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งมี ส.ส. จากพรรคภูมิใจไทยไม่โหวตเลือก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่เป็นไร ใครทำอะไรเขาก็ไม่ได้ ใครไปไล่ออกจากพรรคก็มีเรื่อง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากระแสก็ส่วนหนึ่ง หลักการก็ส่วนหนึ่งใช่หรือไม่ วิษณุกล่าวว่าตนไม่ทราบ ตรงนี้แต่ละคนมีความรู้ มีหัวใจ คิดกันเองแล้วกัน
ส่วนกรณีที่เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าอาจมีการเลือกตั้งใหม่หากพิธาถูกศาลวินิจฉัยเรื่องขาดคุณสมบัติจากกรณีถือครองถือหุ้น ITV ทำให้ขัดกับคุณสมบัติการเป็น ส.ส. จะกระทบกับการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงการรับรองผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคก้าวไกล อาจส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น วิษณุกล่าวว่าตนไม่ตอบอะไรแล้ว ที่ตอบวันก่อนก็เพราะว่าสื่อถามและอยากรู้ เมื่ออยากรู้ตนก็ให้ความรู้ และก็ควรจะจบได้แค่นั้น ถ้าขยายความต่อไปตนคิดว่าไม่เป็นธรรมต่อพรรรคก้าวไกลที่กำลังดำเนินการไปในแนวทางที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปทำอันไหนให้กระบวนการของเขามันสะดุด ถ้าพูดมากกว่านี้ไปก็แปลว่าตั้งใจให้เขาสะดุดแล้วล่ะ เมื่อตนไม่ได้ตั้งใจก็อย่าไปพูดอะไรอีก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีดังกล่าวเป็นแนวทางกฎหมายที่ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วหรือไม่ วิษณุกล่าวว่าขอให้ช่วยไปถามคนอื่น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงเจตนารมณ์ในการออกมาระบุว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธา อาจทำให้การเลือกตั้งทั้งประเทศเป็นโมฆะนั้นเป็นเช่นไร วิษณุกล่าวว่าไม่มีเจตนารมณ์อะไร เป็นเพียงเจตนารมณ์ที่สื่อถามตนก็เลยตอบ และเวลาไปออกข่าวก็ไม่ได้มีการนำเสนอคำถาม ทั้งประเทศหรือไม่ทั้งประเทศก็ตามที เพราะว่าเมื่อตนตอบไปก็มีผู้สื่อข่าวได้แย้งว่ามันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ตนก็เลยบอกว่าเคยมีเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปเปรียบเทียบ และความจริงมันเปรียบเทียบกันไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนละกรณีกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเหตุตามที่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีการถือหุ้น ITV จะมีการเลือกตั้งซ่อมทั้งประเทศหรือเฉพาะในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล วิษณุระบุว่าก็ไม่ตอบแล้วล่ะครับ และย้ำอีกครั้งว่าไม่ตอบ ถามเรื่องอื่นตนจะตอบ แต่เรื่องนี้ตนไม่ขอตอบ