วานนี้ (28 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 1 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
วิโรจน์ระบุว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560-2566 กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทมีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลางตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 95 โครงการ มีราคารวมกัน 73,346 ล้านบาท มีราคาชนะประมูล 73,171 ล้านบาท ทั้งหมด 7 ปี การประกวดราคาประหยัดงบไปได้แค่ 175 ล้านบาท ห่างจากราคากลางแค่ 0.24% ส่วนโครงการที่มีมูลค่า 450-500 ล้านบาท ทั้งหมด 10 โครงการ มีราคากลางรวมกัน 4,678 ล้านบาท ชนะประมูลรวมกันที่ 3,966 ล้านบาท ประหยัดงบ 711 ล้านบาท คิดเป็น 15.21%
“หมายความว่าเรื่องชวนหลอนในการประกวดราคากลางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท จะเกิดขึ้นเฉพาะกับโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่าตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป”
วิโรจน์กล่าวว่า หากมีการประกวดราคาอย่างเป็นธรรมแบบที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน ประเมินได้เลยว่าใน 7 ปี ประเทศของเราจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 14.97% หรือประมาณ 10,980 ล้านบาท คิดว่าเรื่องนี้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นมาหลายสมัย ก็น่าจะรู้ดี
วิโรจน์ชี้ว่าสาเหตุของเรื่องมาจากประกาศหลักเกณฑ์จับชั้นผู้รับเหมา เพราะผู้รับเหมาชั้น 3 หากจะเลื่อนเป็นชั้น 2 ต้องมีผลงาน 1 โครงการไม่ต่ำกว่า 75 ล้านบาท โดยที่ผู้รับเหมาชั้น 3 จะมีเพดานการประกวดราคาเป็น 2 เท่าของผลงาน ส่วนผู้รับเหมาชั้น 2 ที่จะขอเลื่อนเป็นชั้น 1 ต้องมีผลงาน 1 โครงการไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท เพดานเป็น 2 เท่า อยู่ที่ 300 ล้านบาท แต่หากผู้รับเหมาชั้น 1 จะเลื่อนเป็นชั้นพิเศษ ต้องมีผลงานหนึ่งโครงการไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท แต่เพดานในการร่วมประกวดราคาที่ควรจะเป็น 2 เท่า กลับถูกกดให้เหลือเพียงแค่ 500 ล้านบาทเท่านั้น นี่คือเรื่องชวนหลอน
“อีกทั้งโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลาง 450-500 ล้านบาท ก็มีอยู่เพียงแค่ 10 โครงการ กล่าวคือ ด้วยช่องว่างเพียงแค่ 50 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาฟันราคา ให้ราคาชนะประมูลอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 450 ล้านบาทได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ชนะประมูล และนำผลงานไปขอเลื่อนเป็นชั้นพิเศษ ซึ่งผู้รับเหมาประเภทพิเศษนี้ มีอยู่แค่ 79 ราย จึงอยู่ในสภาพเป็นเสือนอนกิน รอสัมภเวสีประจำกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มาจัดฮั้วประมูลและส่งเงินทอนให้ โดยที่ไม่ต้องลงแข่งขันอะไรเลย”
วิโรจน์ยังกล่าวอีกว่า เคยนำเรื่องนี้เข้าคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งได้พบว่าคณะกรรมการราคากลางได้มีการแก้ประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมาเบื้องต้นไปแล้ว และ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยตอบกระทู้ว่าได้แก้ปัญหาเบื้องต้น ด้วยการเพิ่มผู้รับเหมาชั้น 1 ก. และปรับเพดานให้สามารถประกวดราคาได้ถึง 600 ล้านบาท และจะแก้ไขประกาศ ฉบับดังกล่าวอีกครั้ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2567
วิโรจน์เผยว่า ได้ตั้งกระทู้อีกครั้งเพื่อถามว่าการเพิ่มผู้รับเหมา 1 ก. แก้ปัญหาการฮั้วประมูลไม่ได้ เนื่องจากจำนวนโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางอยู่ที่ 450-600 ล้านบาท ในแต่ละปีมีน้อยมาก และตนทำนายล่วงหน้าว่า ในอนาคตกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท อาจจะจัดให้มีราคากลางสูงกว่า 600 ล้านบาท เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ก. ร่วมประกวดราคา
วิโรจน์ได้นำเรื่องนี้เข้ากรรมาธิการติดตามงบฯ อีกครั้ง หลังเดือนมีนาคม 2567 เนื่องจากยังไม่มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ตามที่นายเศรษฐาให้คำมั่นไว้ แต่ในวันนั้นจึงรู้ความจริง เพราะผู้แทนจากกรมบัญชีกลางบอกในที่ประชุมว่า กรมบัญชีกลางมีมติให้ขยับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1 ก. จาก 600 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 แต่ถูกกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้าน จนต้องตั้งคณะทำงานเพื่อหาข้อสรุป ซึ่งผู้แทนจากกรมทางหลวงอ้างในที่ประชุมว่า การที่ต้องสงวนงานให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เป็นเพราะการจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง หัวเราะกันทั้งห้องประชุม เพราะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด ที่ผู้รับเหมาชั้นไหนก็ทำได้
วิโรจน์กล่าวว่า หลังจากนั้นตนได้ตั้งกระทู้ถามต่อเนื่องอีก โดยถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไป 3 กระทู้ และถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 2 กระทู้ เพื่อตามเรื่องว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวทันกับงบประมาณปี 2568 หรือไม่ และจะมีการจัดโครงการก่อสร้างทางเพื่อเปิดการแข่งขันด้านราคาให้กับผู้รับเหมาชั้น 1ก ได้ร่วมประมูลหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้การฮั้วประมูลเกิดขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ งบประมาณปี 69 เข้าสภาแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบเลย .
อย่างไรก็ตาม ได้รับคำตอบทางอ้อม ผ่านการจัดงบประมาณปี 2568 กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลาง 450-600 ล้านบาท เพื่อให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ก. สามารถร่วมประกวดราคา เพื่อขอเลื่อนชั้น เพียงแค่โครงการเดียว คือการปรับปรุงสะพานข้ามแยกพระราม 9 ประดิษฐ์มนูธรรม แยกรามคำแหง
วิโรจน์ยกตัวอย่างว่า ในงบประมาณปี 2568 กรณีโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่-เชียงราย บ้านสันมะแฟน-อำเภอแม่สรวย อยู่ดีๆ มีการแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 มีราคา 749 ล้านบาท ตอนที่ 2 มีมูลค่า 749 ล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 1,500 ล้านบาท ตนจึงมีคำถามว่า ในเมื่อจะแบ่งซื้อแบ่งจ้างแล้วทำไมไม่แบ่งเป็น 3 ตอน เพื่อให้แต่ละตอนมีราคากลางอยู่ที่ 500 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ก. สามารถประกวดราคาได้ และทำให้ประเทศสามารถประหยัดงบได้มากขึ้น
วิโรจน์กล่าวต่ออีกว่า จากรายงานการประชุมที่ตนเองได้ไปติดตามมาเกี่ยวกับกรมบัญชีกลางซึ่งยืนยันข้อมูลว่าในปี 2516 การประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง 0.40% ในขณะที่ผู้รับเหมาชั้นหนึ่งประหยัดงบได้ถึง 17.10% โดยส่วนต่างนี้คือเงินทอน และเมื่อพิจารณาจากโครงการทั้งหมด มีจำนวนโครงการต่อจำนวนผู้รับเหมาไม่สอดคล้องกัน โดยผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาประมูล โครงการของผู้รับเหมาชั้นธรรมดาได้ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีความเห็นตรงกันว่าการจัดชั้นผู้รับเหมาเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานต้องที่การบริหารสัญญาและในกรณีที่เป็นงานที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะก็สามารถกำหนดใน TOR ได้
“ปัญหาการทิ้งงานของผู้รับเหมา จากข้อมูลสถิติก็ไม่พบว่ามีปัญหา และการใช้งานก็ไม่ได้มาจากการประกวดราคา แต่มาจากการที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษรับงานมากมาย จนเกิดการขาดสภาพคล่อง โดยคณะทำงานมีมติให้ปรับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1 ก. จาก 600 ล้านบาท ให้เป็น 900 ล้านบาท แต่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านไม่เห็นด้วยกับมติ ซึ่งจากงบ ปี 2567 มีโครงการ 400-600 ล้านบาทที่ผู้รับเหมาชั้น 1 ก. ประมูลได้ 8 โครงการ โดยเป็นเพราะงบปี 2567 ประกาศใช้แล้ว และแก้ไขไม่ทันแล้ว”
วิโรจน์กล่าวด้วยว่า การที่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไม่ยอมรับมติของคณะทำงานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณได้ทำหนังสือแจ้งข้อสังเกตไปยังกรมบัญชีกลาง, ป.ป.ช. และ สตง. เป็นที่เรียบร้อย ให้เร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดชั้นผู้รับเหมาเพื่อป้องกันการทุจริตการก่อสร้างทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายหลักพันล้านบาทต่อปี
”ถ้าการประกวดราคาของโครงการก่อสร้างทาง มีการประกวดที่เป็นธรรม ไม่มีการซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้ ประเทศชาติของเราจะสามารถประหยัดเม็ดเงินได้มหาศาล“ วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์ยังระบุถึงการประเมินเงินทอนจากโครงการก่อสร้างทางในแต่ละปี อาจมีมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยได้ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 2564 – 2568 โดยคาดว่าจะมีเงินทอนตั้งแต่ 300 – 8,000 ล้านบาท ถือเป็น 16.7% และเชื่อว่ากระบวนการซุปเงินทอนตั้งแต่หัวโต๊ะไปจนถึงท้ายโต๊ะอาจมีมูลค่าถึงหลายพันล้านบาทต่อปีก็เป็นได้
วิโรจน์กล่าวว่า ในปี 2569 จากงบประมาณของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 กรมมีมูลค่า 62,450 ล้านบาท โดยมีโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางตั้งแต่ 600 ล้านบาท ขึ้นไป 57 โครงการ
“ผมยืนยันว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา ก็ประเมินได้เลยว่าในปี 2569 ทั้งสองกรม ต้องซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้เผื่อการกินเหล็ก ปูน หิน ดิน ทราย ไม่ต่ำกว่า 8,161 ล้านบาท” วิโรจน์กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเคยประเมินว่าต้องใช้เงิน 7,000 – 8,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จึงมองว่าหากมีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จากชั้นผู้รับเหมา จะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำให้คนไทยใช้รถไฟฟ้าอย่างเสมอภาค ได้ในราคาที่ถูกลง ตนเองหาเงินเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ซึ่งทำได้ทันทีหากมีการแก้ไขประกาศดังกล่าว
“การฮั้วประมูล และการรีดไถจากการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงาน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการขายประชาชนผู้อยู่การอาศัย ต้องเผชิญกับฝุ่นควันการก่อสร้างไม่จบไม่สิ้น และยังต้องเสี่ยงอุบัติเหตุจากการจราจร และอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง งบที่เผื่อเงินทอนเพื่อการประมูลแบบนี้ หากสภาผู้แทนราษฎรของพวกเรายอมรับ ก็เท่ากับร่วมกันทุจริต และทรยศต่อประชาชน ขาดสำนึกว่างบประมาณทุกบาท มาจากภาษี ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผม และพรรคประชาชน ไม่สามารถปล่อยให้งบประมาณของกระทรวงคมนาคมในปี 2569 ที่มีพฤติกรรมเดิม ที่เผื่อสินบาทคาดสินบนแบบนี้ให้ผ่านไปได้” วิโรจน์กล่าว