วันนี้ (26 มิถุนายน) พล.ต.อ. วินัย ทองสอง ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฟ้องฐานหมิ่นประมาทฯ สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.ต.อ.วินัย เคยแถลงและให้สัมภาษณ์ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความผิดเกี่ยวพันกับคดีเว็บพนัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วงประชุม ก.ตร. วันนี้เตรียมหารือปมคำสั่งสอบวินัย-สั่งให้ออกจากราชการ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’
- เปิดรายชื่อคณะกรรมการตำรวจฯ ชี้ชะตา ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ พ้นราชการตำรวจ
พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ความสัมพันธ์กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นมาด้วยดีตั้งแต่ในอดีตในฐานะผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา สมัยอยู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และที่ผ่านมายังเคยให้สัมภาษณ์เตือนสติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หลายครั้ง
ตนได้รับเลือกให้เป็น ก.ตร. และอยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น โดยทำใน 3 เรื่อง ได้แก่ การต่อสู้เรียกร้องการโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ไม่สมัครใจและไม่มีความผิดให้ได้รับการเยียวยา, การต่อสู้เรื่องการซื้อขายตำแหน่งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, เรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะสิ่งที่โรงพักขาดแคลน เช่น งบน้ำมัน
พล.ต.วินัย กล่าวว่า ตนเองได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และเป็นประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย หรืออนุฯ ก.ตร.วินัย ตามที่ ก.ตร. มอบหมาย เพื่อพิจารณาเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อ ก.ตร. กรณีที่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ในขณะนั้น ใช้อำนาจในการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน
ซึ่งที่ประชุมอนุฯ ก.ตร.วินัย ที่มีประมาณ 19 คน ได้อภิปรายกันอย่างมากมาย โดยกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เป็นที่สุดท้าย
“เขาก็พูดว่าอย่าไปเปลืองตัวกับเรื่องนี้เลย แต่ตนพูดว่าไม่ได้ เพราะเราเป็นเหมือนที่ปรึกษากฎหมายของ ก.ตร. ไม่ว่าจะสิบตำรวจโท พันตำรวจตรี หรือพลตำรวจเอก ถามมา ก็ต้องชี้ผิดชี้ถูก” พล.ต.อ.วินัย กล่าว
พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า อนุฯ ก.ตร.วินัย มีมติเสียงส่วนใหญ่ โดยงดออกเสียง 1 คน ว่า การดำเนินการของรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตามมาตรา 131 ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำไปฟ้องร้องนั้น ก็เพื่อไม่ให้ตนเองเข้ามาพิจารณาเรื่องที่ อนุฯ ก.ตร.วินัย เสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร. ในวันนี้
“ขอขอบคุณหลายสื่อที่เปิดโอกาสให้ตนสามารถนำข้อเท็จจริงที่มีอยู่ทั้งหมด จากการเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่สอบข้อมูลทุกด้าน เปิดโอกาสให้ตนใช้สิทธิในการป้องกันชื่อเสียงของตัวเอง นำพยานหลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งเส้นทางการเงิน รูปภาพ และอีกหลายอย่าง ให้สาธารณชนได้รับรู้ว่าใครผิด ใครถูก ใครทำผิดกฎหมาย ใครทำถูกกฎหมาย
“เปิดถึงความดี ความชั่ว ใครทำดี ใครทำชั่ว ใครคนดี ใครคนชั่ว เปิดถึงตำรวจอาชีพกับอาชีพตำรวจ มาอาศัยเครื่องแบบในการแสวงหารายได้ เปิดถึงคุณธรรมจริยธรรม ว่าผู้ที่จะเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นผู้นำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร” พล.ต.อ.วินัย กล่าว
พล.ต.อ.วินัย กล่าวยืนยันว่า กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังรักกัน ตนเองหวังดี ไม่เคยมีจิตคิดร้าย แต่ที่ทำเพราะตำรวจเลือกตนเองมา ตนอยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น อยากเห็นตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน
เมื่อถามว่า การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องหมิ่นประมาทฯ ถือว่าเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่สามารถไปคิดแทนได้ แต่การที่ฟ้อง ตนก็ถือว่าเป็นการให้โอกาสตัวเองป้องกันตัวเองและวงศ์ตระกูล ได้ชี้แจงในวันที่แถลงข่าว
พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า วันนี้ ก.ตร. จะพิจารณาว่าสิ่งที่รักษาการ ผบ.ตร. ดำเนินการ ชอบหรือไม่ชอบ หลังจากที่ อนุฯ ก.ตร.วินัย มีมติเสียงส่วนใหญ่ว่า ชอบด้วยกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามมาตรา 131 แต่ทั้งนี้มติของ ก.พ.ค.ตร. ผลออกมาอย่างไร สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องทำตาม แย้งไม่ได้เลย
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องหมิ่นประมาทฯ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ตอนที่เข้ามารับราชการก็ถือว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกอยู่แล้ว เรื่องฟ้องเรื่องหมิ่นประมาทเป็นเรื่องจิ๊บๆ ตนไม่ได้สนใจเลย
