×

ทำไมมาตรการ ‘ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต’ เป็นจุดอ่อนสำคัญของกัมพูชาในข้อพิพาทชายแดน?

โดย THE STANDARD TEAM
10.06.2025
  • LOADING...
ข้อพิพาทชายแดน

ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ช่องบก สามเหลี่ยมมรกต จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อประเทศไทยส่งสัญญาณว่าพร้อมใช้มาตรการตัด ‘น้ำ-ไฟ-อินเทอร์เน็ต’ หากกัมพูชายังคงมีท่าทีแข็งกร้าวและรุกล้ำอธิปไตยไทย 

 

มาตรการไม้แข็งนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำขู่เชิงยุทธศาสตร์ แต่คืออาวุธทางเศรษฐกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างธุรกิจสีเทา ซึ่งฝังรากลึกในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา

 

สถานการณ์ข้อพิพาทช่องบก ดินแดนสามเหลี่ยมมรกตที่ยังคงเปราะบาง

ข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หรือที่รู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมมรกต เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในบางส่วนของพื้นที่ 

 

จนกระทั่งวันที่ 8 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อมีรายงานว่า ทหารกัมพูชาได้ล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ทำให้เกิดการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของทั้งสองฝ่ายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

 

ในการหารือครั้งล่าสุด ฝ่ายไทยได้ยืนยันกับฝ่ายกัมพูชาถึงความจำเป็นที่ทหารกัมพูชาจะต้องถอยกำลังกลับไปยังจุดเดิมเมื่อปี 2567 เนื่องจากมีการล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย 

 

พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่า หากกัมพูชายังคงแข็งข้อ ประเทศไทยจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล โดยการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต จะเป็น 1 ในมาตรการสำคัญที่นำมาใช้ 

 

การพูดคุยนี้ส่งผลให้ พล.ท. สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการ กองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ประสานไปยัง พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย เพื่อขอหารือเรื่องการปรับกำลัง ซึ่งนำไปสู่การที่ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีเข้าพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชา และนำมาซึ่งการปรับกำลังในพื้นที่ดังกล่าวในที่สุด

 

มาตรการที่ไทย-กัมพูชานำมาใช้ ณ ปัจจุบัน

 

มาตรการที่ทั้งสองประเทศนำมาใช้ในปัจจุบันมีความหลากหลาย ตั้งแต่ทางการทูตไปจนถึงการใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ 

 

ในส่วนของประเทศไทย 

  • การประท้วงทางการทูต ผ่านช่องทางสถานทูตและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพอธิปไตย
  • การลดเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน เพื่อตอบโต้ท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบโดยต่อธุรกิจชายแดนของกัมพูชา 

 

ในขณะที่กัมพูชาเองก็มีการตอบโต้ เช่น การปลุกระดมในสื่อบางช่องทาง รวมถึงการประกาศว่าจะนำเรื่องข้อพิพาทเข้าสู่ศาลโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยไม่ยอมรับและยืนยันที่จะใช้กลไกการเจรจาแบบทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น

 

ตัดการส่ง ‘น้ำ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต’ ไม้ตายที่เจาะจุดอ่อน

การที่เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของไทยยืนยันกับทางกัมพูชาว่า “จะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล” ไม่ใช่เพียงแค่คำขู่ แต่เป็นการตอกย้ำถึงไม้ตายที่ไทยพร้อมจะนำมาใช้ อย่างมาตรการ ‘ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต’ มาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างแรงกดดัน 

 

เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่พึ่งพาการเชื่อมโยงจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก

 

การตัดน้ำจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร การตัดไฟฟ้าจะทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนไม่สามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ ส่วนการตัดอินเทอร์เน็ตจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสื่อสาร การทำธุรกรรมออนไลน์ 

 

และที่สำคัญที่สุดคือ ‘ธุรกิจสีเทา’ อย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งอาศัยโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไทยเป็นหลักในการดำเนินการ

 

ย้อนรอยปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้นปี 2568

บทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของมาตรการ ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต คือเหตุการณ์ในช่วงต้นปี 2568 ที่ประเทศไทยเดินหน้ามาตรการเชิงรุกเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานอยู่ในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา อาทิ เมืองปอยเปต ในเวลานั้น รัฐบาลไทยได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจใช้มาตรการตัดการส่งกระแสไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำประปา ไปยังพื้นที่ที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ การดำเนินงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ดังกล่าวต้องหยุดชะงักลง ทำให้สถิติการหลอกลวงประชาชนไทยลดลงอย่างมีนัย แรงกดดันจากมาตรการนี้ส่งผลให้รัฐบาลกัมพูชาเองต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างจริงจังในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศของตน มีการจับกุมผู้กระทำผิดจำนวนมากและทำลายเครือข่ายบางส่วน 

 

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ามาตรการตัดสาธารณูปโภคพื้นฐานสามารถส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และกิจกรรมผิดกฎหมายที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้น

 

เศรษฐกิจกัมพูชาบางส่วนที่พึ่งพา ‘เงินสีเทา’

ข้อมูลและรายงานเชิงลึกหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและบางเมืองสำคัญ มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการพนันออนไลน์ แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนและเป็นทางการ แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ารายได้จากกิจกรรมเหล่านี้ได้หมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของกัมพูชาผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการใช้จ่ายภายในประเทศ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการฟอกเงิน

 

ความกังวลอย่างเห็นได้ชัดของกัมพูชาต่อแนวทางที่ประเทศไทยจะใช้มาตรการ ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปหรือภาคธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนการตัดเส้นเลือดใหญ่ของระบบธุรกิจหลักแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อาจเป็นแหล่งรายได้สำคัญของบางกลุ่มในประเทศ

 

จากบทเรียนเมื่อต้นปี 2568 ที่การตัดสาธารณูปโภคพื้นฐานส่งผลให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องหยุดชะงักและกัมพูชาต้องเร่งปราบปรามอย่างจริงจัง แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของแก๊งมิจฉาชีพเหล่านั้น การไม่มีไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่น้ำประปา จะทำให้การสื่อสารผ่านระบบ VoIP การเข้าถึงข้อมูล การทำธุรกรรมออนไลน์ และการดำรงชีวิตของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเป็นไปไม่ได้

 

ดังนั้น การที่ประเทศไทยประกาศจะใช้มาตรการไม้แข็งนี้ หากกัมพูชายังคงมีท่าทีแข็งข้อในข้อพิพาทชายแดน จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเป็นการจี้ไปที่จุดอ่อนของเศรษฐกิจกัมพูชาบางส่วนที่พึ่งพารายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการ 

 

มาตรการนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การตอบโต้ทางการทหารหรือการทูต แต่เป็นการใช้สงครามเศรษฐกิจ ที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และกดดันให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและเคารพซึ่งกันและกัน

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising