ผู้อ่านที่ติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาตั้งแต่เช้าวันที่ 4 พฤศจิกายน บางคนอาจคิดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเป็นฝ่ายกำชัยไปอย่างสบายๆ เพราะคะแนนของทรัมป์ดูจะนำห่าง โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตอย่างหายห่วง โดยเฉพาะมลรัฐในภูมิภาคมิดเวสต์ที่เป็นมลรัฐสีม่วงอย่างมิชิแกน วิสคอนซิน และเพนซิลเวเนีย
บางช่วงบางเวลา คะแนนของทรัมป์นำขึ้นไปถึงเกือบ 10% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการนับคะแนนผ่านไปจนถึงเวลาช่วงค่ำของประเทศไทย คะแนนของไบเดนกลับตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนเขาพลิกกลับมาชนะในรัฐมิชิแกนที่ 1.2 แสนเสียง และในวิสคอนซินที่ 2 หมื่นเสียง (ทั้งสองมลรัฐนับครบแล้ว และนี่คือคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ) และตามมาติดๆ ที่เพนซิลเวเนีย โดยคะแนนตอนนี้ไบเดนตามอยู่แค่ 2 แสนเสียง (และยังนับคะแนนไม่เสร็จสิ้น) ซึ่งนักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายคนเชื่อว่าไบเดนจะชนะที่เพนซิลเวเนียอีกหนึ่งมลรัฐด้วยเมื่อการนับคะแนนสิ้นสุดลง (คล้ายกับกรณีของมิชิแกนและวิสคอนซิน) ซึ่งเพนซิลเวเนียนี่เองที่จะเป็นมลรัฐสุดท้ายที่ทำให้ไบเดนได้คะแนน Electoral College ถึง 270 เสียง และได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
เหตุใดคะแนนใน 3 มลรัฐนี้จึงพลิกผันได้ในชั่วข้ามคืน
สาเหตุที่คะแนนของทรัมป์นำค่อนข้างมากในช่วงแรกนั้นเป็นเพราะว่าการนับคะแนนช่วงแรกใน 3 มลรัฐที่ว่านั้นเป็นการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งของผู้ที่มาลงคะแนนเสียงในคูหาด้วยตัวเองในวันที่ 3 พฤศจิกายนเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่มาลงคะแนนด้วยตัวเองนั้นมักจะเป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน เพราะทรัมป์พยายามโปรโมตให้ฐานเสียงของเขามาลงคะแนนที่คูหา เพราะอยากจะฉายภาพว่ารัฐบาลของเขาสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้แล้ว ผู้คนสามารถใช้ชีวิตกันตามปกติ (รวมถึงออกไปเลือกตั้งตามปกติ) ได้แล้ว
นอกจากนี้เขายังพยายามโจมตีไบเดน (อย่างไม่มีหลักฐาน) มาตลอดว่าพรรคเดโมแครตจะพยายามโกงการเลือกตั้งด้วยการส่งบัตรเลือกตั้งปลอมมาทางไปรษณีย์ ทำให้ฐานเสียงของพรรครีพับลิกันยิ่งไม่มีความมั่นใจกับการโหวตทางไปรษณีย์ และพยายามมาโหวตที่คูหาด้วยตัวเอง
ในทางตรงกันข้าม ไบเดนพยายามจะส่งเสริมให้ฐานเสียงของพวกเขาโหวตทางไปรษณีย์เป็นหลัก ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นความหวังดีของเขาจริงๆ ที่ไม่อยากให้ฐานเสียงของตัวเองเสี่ยงกับโรคระบาดจากการไปรวมตัวกันกับคนหมู่มากในสถานที่แคบๆ
แต่อีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเขาอยากการันตีว่าฐานเสียงของเขาจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้เขาแน่ๆ เพราะฐานเสียงของพรรคเดโมแครตมักเป็นคนผิวสีและคนมีรายได้น้อย ซึ่งมีสถิติในการออกมาใช้สิทธิค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคนกลุ่มอื่นๆ การพยายามรณรงค์ให้พวกเขาออกมาใช้สิทธิทางไปรษณีย์แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการรอลุ้นให้ออกมาเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนทีเดียว
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คะแนนของไบเดนจะพุ่งขึ้นมาในช่วงหลังของการนับคะแนนที่เป็นช่วงการนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์
ทรัมป์กล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง
แล้วก็ไปตามที่ทรัมป์ส่งสัญญาณไว้ตั้งแต่ในช่วงหาเสียงว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ไบเดนง่ายๆ และจะต้องมีการต่อสู้กันทางกฎหมายอย่างแน่นอน ภายหลังจากที่ทรัมป์ทราบว่าคะแนนของเขาที่นำมาตลอดในช่วงแรกถูกแซงโดยไบเดน เขาก็ทวีตออกมาว่าเขาจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง เพราะเดโมแครตได้ทุจริตด้วยการส่งบัตรเลือกตั้งปลอมมาทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยและไม่มีหลักฐาน จนทวิตเตอร์ต้องออกข้อความมาเตือนไว้คู่กับทวีตของประธานาธิบดีว่าข้อความที่เขาทวีตออกไปนั้นอาจจะไม่มีมูล
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์