เมื่อสัปดาห์ก่อน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการแห่งสหประชาชาติ (UN) ส่งจดหมายถึง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เพื่อหวังให้รัสเซียยืดข้อตกลงระหว่างรัสเซียและยูเครนสำหรับการเปิดเส้นทางการส่งออกธัญพืชจากท่าเรือในทะเลดำของยูเครน โดยข้อตกลงดังกล่าวจะจบลงในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้
จากข้อตกลงในปัจจุบัน รัสเซียยินยอมให้ยูเครนสามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังนานาประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้รับการขยายเวลาออกไป ซึ่งปัญหาหนึ่งเกิดจากการที่ปุ๋ยของรัสเซียไม่สามารถส่งออกไปได้เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรของยูเครน แม้ว่าชาติตะวันตกจะไม่ได้คว่ำบาตรการนำเข้าปุ๋ยจากรัสเซีย แต่ผู้ค้าในรัสเซียได้รับผลกระทบจากการถูกถอดออกจากระบบ SWIFT ซึ่งเป็นระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ รวมถึงความยากลำบากในการทำประกันการส่งสินค้า
ก่อนหน้าที่รัสเซียจะส่งกำลังทหารเข้าไปปิดล้อมยูเครนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกธัญพืชราว 25% ของทั้งโลก ก่อนที่การส่งออกจะถูกระงับเป็นเวลาเกือบ 6 เดือน จนกระทั่งยูเครน รัสเซีย องค์การสหประชาชาติ และตุรกี จะสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว เรือขนส่งกว่า 1,000 ลำบรรทุกสินค้าเกษตรเกือบ 33 ล้านเมตริกตัน ถูกขนส่งออกจากท่าเรือ 3 แห่ง คือ Odesa Chornomorsk และ Yuzhny-Pivdennyi
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย ออกมาเตือนว่า หากข้อตกลงดังกล่าวที่ชื่อว่า Black Sea Grain Initiative ไม่ได้รวมการส่งออกปุ๋ยของรัสเซียไปด้วย รัสเซียจะไม่ยินยอมที่จะขยายข้อตกลงออกไป
“ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เรียกว่า Grain Deal แต่มันคือ Black Sea Initiative และข้อตกลงก็เขียนไว้ว่าใช้สำหรับการขยายโอกาสในการส่งออกธัญพืชและปุ๋ย”
ความต้องการของรัสเซียในเวลานี้คือ การตกลงให้ Russian Agricultural Bank หรือ Rosselkhozbank กลับเข้าไปรวมอยู่ในระบบของ SWIFT
อ้างอิง