จากสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนอย่างหนักผลกระทบจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ WHA ประกาศชะลอแผนการทำ IPO ของบริษัทลูก คือ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ออกไปแบบไม่มีกำหนด
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ตัดสินใจชะลอแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ ) และชะลอแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของบริษัทลูกคือ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID) ซึ่งดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมแบบไม่มีกำหนดจากแผนการเดิมที่คาดว่าจะดำเนินการในปี 2568-2569
เนื่องจากสถานการณ์ที่สภาวะเศรษฐกิจตลาดทุนของประเทศไทยมีความผันผวนมากในปัจจุบัน โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันตลาดหุ้นปรับตัวลงมาถึงประมาณ 240 จุด อีกทั้งตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดที่เติบโตต่ำที่สุดของโลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับการที่บริษัทฯ ได้รับฟังมุมมองและข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากนักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง หลังจากการประกาศแผน IPO ของ WHAID ก่อนหน้านี้
ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้ตัดสินใจที่จะชะลอแผน IPO ของ WHAID และการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP ออกไปก่อน เพื่อให้การดำเนินธุรกรรมดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุด และมีความชัดเจนต่อผู้ถือหุ้นโดยบริษัทฯ จะติดตามและประเมินปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดทุน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อตลาดทุนของประเทศไทย ตลอดจนผลการดำเนินงานและโอกาสการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ ในปี 2568 ยังคงงบลงทุนรวมไว้ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนใน 5 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ 4,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจโมบิลิตี้ 1,500 ล้านบาท 3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 9,900 ล้านบาท 4.ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 4,500 ล้านบาท 5.ธุรกิจดิจิทัล จำนวน 450 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (Interest Bearing Debt to Equity: IBD/E ratio) ของบริษัทฯ แม้จะลงทุนตามแผนดังกล่าวยังต่ำกว่า 1.2 เท่า โดย ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1.04 เท่า ถือว่ายังเป็นระดับที่ยังสบายใจ ยังต่ำจากนโยบายที่วางไว้ไม่เกินระดับ 2.5 เท่า
ดังนั้นจึงยืนยันว่าบริษัทฯ ไม่มีปัญหาหนี้สินการกู้ยืมสถาบันการเงินแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์สัดส่วนต่ำกว่า 20% ของเงินกู้รวมของบริษัทฯ ซึ่งส่วนใหญ่แหล่งเงินกู้มาจากการออกหุ้นกู้
“การชะลอการ IPO ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อบริษัท เพราะแผนการ IPO เป็นเรื่องระยะยาว ซึ่งขณะนี้เราก็ยังสามารถทำธุรกิจได้แบบปกติธุรกิจของบริษัทจะยังเติบโตได้โดดเด่นในทุก Sector โดยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นพระเอกของเราในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจากนี้ โดยในปีนี้ยังมั่นใจว่าผลการดำเนินงานคาดว่าจะทำ All Time High ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยปีนี้ตั้งเป้า Normalized total revenue and share of profit จะเติบโต 35% ส่วน EBITDA Margin จะมากกว่า 45%” จรีพรกล่าว
โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และได้วางเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ ดังนี้
- ธุรกิจโลจิสติกส์ เตรียมขยายธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในไทยและเวียดนาม โดยมุ่งเน้นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น สมุทรปราการ EEC และเมืองรองของประเทศไทย รวมทั้งขยายคลังสินค้าขนาดใหญ่ในเวียดนาม เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและอุตสาหกรรมส่งออก ตั้งเป้าสร้างโครงการใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร ภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,297,000 ตารางเมตร ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจากการให้บริการการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า (4PL) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ PTTGC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์
- ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) อีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มลูกค้า B2B โดยตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้บริการรถเช่าสะสมจำนวน 1,700 คันภายในปี 2568 และเป็น 20,000 คัน ภายในปี 2572
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังเติบโตต่อในฐานะผู้นำในตลาดนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และเร่งขยายการเติบโตในประเทศเวียดนาม เพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และกลุ่มสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศไทยและประเทศเวียดนามจากทั้งหมด 15 แห่งเป็น 17 แห่งภายในปี 2568 นอกจากนี้ WHAID ตั้งเป้าที่จะพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพิ่มอีก 12,700 ไร่ รวมเป็น 88,000 ไร่
ล่าสุด WHAID ประกาศเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรม WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 (WHA ESIE 5) เฟสที่ 1 บนพื้นที่กว่า 4,000 ไร่ ในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พร้อมให้นักลงทุนเริ่มเข้าก่อสร้างได้ปลายปี 2568 โดยมุ่งเน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคตระดับโลก
- ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค มุ่งขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยจะเดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 280 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2572 สำหรับธุรกิจพลังงาน มุ่งขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าพัฒนาโซลูชันพลังงานใหม่ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,185 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ในปี 2572
- ธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ IoT มาประยุกต์ใช้ในแต่ละธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยตั้งเป้าหมายพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ ภายในปี 2568