“เวนเกอร์ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษเลย เขาอยู่กับสโมสรใหญ่ก็จริง อาร์เซนอลเคยเป็นทีมใหญ่ แต่เขาเป็นแค่พวกเด็กฝึกงานที่ควรจะแสดงความเห็นแค่ฟุตบอลญี่ปุ่นมากกว่า”
ความเห็นเผ็ดร้อนนี้ออกจากปากและใจแบบตรงไปตรงมาพร้อมกับควันที่ออกจากหัวของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เดือดดาลขึ้นมาหลังจากที่ได้รู้ว่าอาร์แซน เวนเกอร์ บ่นถึงเรื่องของการจัดโปรแกรมการแข่งขันพรีเมียร์ลีก (หรือจริงๆ ยังเรียกในยุคนั้นว่าพรีเมียร์ชิพ) ที่เอื้อให้ทีมปีศาจแดงเป็นแชมป์ได้ในฤดูกาล 1996/97
และนี่คือหนึ่งในปฐมบทของสงครามระหว่างสองสุดยอดผู้จัดการทีมที่ตั้งตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล
ช่วงทศวรรษ 1990 คือช่วงเวลาความยิ่งใหญ่ของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยหลังจากที่พลิกโชคชะตาของสโมสรจนกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาล 1992/93 ซึ่งเป็นแชมป์แรกในรอบ 26 ปี และยังเป็นแชมป์ฤดูกาลแรกหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในการแยกตัวลีกสูงสุดของอังกฤษออกมาตั้งใหม่ในชื่อพรีเมียร์ลีก
นับตั้งแต่นั้นมากองพลอสูรแดงของกุนซือชาวสกอตติชสามารถพิชิตดินแดนอังกฤษ ลงได้อย่างง่ายดาย
มีเพียงอุบัติเหตุทางเกมลูกหนังในฤดูกาล 1994/95 ที่ทีมของเขาพลาดเองเมื่อไม่สามารถเอาชนะเวสต์แฮม ที่โบลีน กราวด์ ได้ ทำให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ภายใต้การนำของคู่ปรับเก่าอย่างเคนนี ดัลกลิช คว้าแชมป์ไปครองได้ทั้งที่พ่ายแพ้ให้กับลิเวอร์พูลทีมเก่าของเขาในเกมนัดสุดท้ายที่แอนฟิลด์
ในฤดูกาลถัดมา 1995/96 แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งอย่างสุดสะใจ เพราะสามารถแซงหน้านิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังถึง 12 แต้มในช่วงเดือนมีนาคม ด้วยสงครามปั่นประสาทใส่เควิน คีแกน และคว้า ‘ดับเบิลแชมป์’ ได้ต่อด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพในตำนาน ลูกถอยหลังยิงของเอริค คันโตนา และชุดสูทอาร์มานีสีขาวของเหล่า ‘Spice Boys’
ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เฟอร์กูสันค่อนข้างมั่นใจ
บนแผ่นดินนี้ไม่มีใครจะสู้เขาได้อีกแล้ว หนึ่งในใต้หล้าคือข้าผู้เดียว
แต่ฟ้าก็ส่งคู่แข่งที่เหมาะสมที่สุดมาให้ในปีต่อมา
“ใครวะ อาร์แซน?”
คำถามนี้คือคำถามใหญ่ไม่ใช่เฉพาะในวงการฟุตบอลอังกฤษ แต่รวมถึงในหมู่ของแฟนฟุตบอลอาร์เซนอลด้วย
กันยายน 1996 ‘กันเนอร์ส’ สร้างความตื่นตะลึงเมื่อมีการประกาศแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นายใหญ่แห่งไฮบิวรีแทนที่ของบรู๊ซ ริอ็อค ที่ถูกปลดจากตำแหน่งหลังผลงานน่าผิดหวัง แต่ผู้จัดการทีมคนใหม่คนนี้แทบไม่มีใครรู้จักเขามาก่อนเลย
ชายรูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกเรียบร้อย และดูเหมือนครูใหญ่มากกว่าจะเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลคนนี้คือ อาร์แซน เวนเกอร์ โค้ชลูกหนังชาวฝรั่งเศสที่ย้ายมาจากนาโกยา แกรมปัส เอท สโมสรฟุตบอลในเจลีกซึ่งเพิ่งก่อตั้งลีกได้เพียงแค่ไม่กี่ปี
แม้ว่าความจริงแล้วเวนเกอร์จะเคยมีประสบการณ์ในยุโรปมาแล้วจากการคุมทีมโมนาโก และเป็นหนึ่งในโค้ชฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลฝรั่งเศสในฐานะกุนซือหัวสมัยใหม่ แต่ด้วยความปิดหูปิดตาของวงการฟุตบอลอังกฤษทำให้ผู้คนตั้งท่าเหยียดใส่ก่อน
เวนเกอร์ ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้มาตลอด แม้ว่าผลงานของเขาจะยอดเยี่ยมด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของอาร์เซนอลใหม่หมด ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการเล่นในสนามที่เปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมจาก ‘อาร์เซนอลโคตรน่าเบื่อ’ (Boring Arsenal) มาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลในแบบภาคพื้นยุโรป ต่อบอลกับพื้นสวยงาม แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมภายในทีมจากทีมฟุตบอลอังกฤษแท้ๆที่เมาหยำเป และไม่ดูแลสภาพร่างกาย ไม่สนใจเรื่องอาหารการกิน
ถึงอย่างนั้นอาร์เซนอลของเขาก็ยังไม่สามารถจะเป็นแชมป์ได้อยู่ดี โดยที่เจ้าตัวแอบตั้งข้อสงสัยในเรื่องของโปรแกรมการแข่งขันของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นแชมป์ในฤดูกาลนั้น
ทำไมมันทางสะดวกจัง?
การตั้งคำถามครั้งนั้นเป็นเหมือนการจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างเขากับเฟอร์กูสัน ที่รู้สึกไม่ใช่แค่ไม่ชอบหน้า แต่ไม่ชอบใจกุนซือผู้มาใหม่และดูเหมือนจะร้อนแรงคนนี้
“เวนเกอร์ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษเลย เขาอยู่กับสโมสรใหญ่ก็จริง อาร์เซนอลเคยเป็นทีมใหญ่ แต่เขาเป็นแค่พวกเด็กฝึกงานที่ควรจะแสดงความเห็นแค่ฟุตบอลญี่ปุ่นมากกว่า”
นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองก็ฟาดฟันกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านการทำผลงานของลูกทีมในสนาม
และการเล่น ‘Mind game’ หรือสงครามจิตวิทยา ที่ไม่ได้หวังผลแค่การพ่นน้ำลายระบายความสะใจ แต่หวังผลในเชิงของจิตวิทยาซึ่งเป็นเกมที่เฟอร์กีถนัดอย่างมาก เพียงแต่เวนเกอร์ ในความเป็นเมธีลูกหนังคนหนึ่งเรื่องพวกนี้ก็เป็นของถนัดของเขาเช่นกัน
เขาจึงเป็นคนที่สามารถโต้ตอบกลับใส่เฟอร์กีได้อย่างสูสีและเจ็บแสบที่สุดในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เป็นมวยถูกคู่ที่พร้อมเปิดฉากซัดกันได้ทุกเรื่องโดยเฉพาะสไตล์การทำทีมของกันและกัน
เวนเกอร์ยัดเยียดความปราชัยให้แก่เฟอร์กูสันได้สำเร็จในฤดูกาลถัดมา โดยที่คว้า ‘ดับเบิลแชมป์’ มาครองได้ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1997/98 ด้วยขุนพลอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์, ปาทริก วิเอรา, เอ็มมานูเอล เปอตีต์, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, นิโกลาส์ อเนลกา, เดวิด ซีแมน
โดยเกมสำคัญที่มีส่วนในการตัดสินแชมป์ฤดูกาลนั้นคือเกมที่อาร์เซนอลเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้ในช่วงเดือนมีนาคม
ดับเบิลแชมป์ของอาร์เซนอลและเวนเกอร์ ยิ่งเป็นการราดน้ำมันกองไฟให้กับความสัมพันธ์ของทั้งคู่
เป็นความสัมพันธ์ในแบบ Toxic ที่ไม่กูก็มึงต้องเป็นฝ่ายไป
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ว่าแมนฯ ยูไนเต็ดและอาร์เซนอลจะพบกันครั้งใด ที่ไหน เกมนั้นจะเป็นเกมเดือดในระดับ 5 ดาว
เพราะไม่ใช่แค่ผู้จัดการทีมทั้งสองจะไม่อยากมองหน้ากันแล้ว นักเตะของพวกเขาทั้งสองทีมเองก็อยากจะลงไปหวดอีกฝ่ายให้แดดิ้นเช่นเดียวกัน
การปะทะกันที่นอกเหนือจากเกมการแข่งขันเป็นเรื่องปกติ การปะทะคารมเป็นของธรรมดา และความพร้อมที่จะวางมวยกันของทั้งสองทีมคือสิ่งที่คาดหวังได้ว่าจะเกิดขึ้นเสมอ นำโดยลูกพี่อย่าง รอย คีน และวิเอรา ซึ่งต่างก็เป็นสุดยอดมิดฟิลด์ห้องเครื่องของพรีเมียร์ลีกด้วยกัน
ในช่วงเวลานั้นเราได้เห็นเหตุการณ์ที่รุนแรง เช่น จังหวะการปะทะกันของเอียน ไรต์ กับปีเตอร์ ชไมเคิล ที่ลุกลามไปถึงการวางมวยกันในอุโมงค์สนามโดย ‘ไรตี้’ บอกว่ายักษ์เดนส์เหยียดสีผิวใส่ แม้ว่าจะไม่มีการตั้งข้อหาจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษที่สั่งสอบสวนในเรื่องนี้ก็ตาม
หรือภาพของมาร์ติน คีโอว์น ที่รีบไปเย้ยหยันใส่รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ยิงจุดโทษพลาดในช่วงนาทีสุดท้ายของเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 2003 จนทำให้พลาดชัยชนะเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0
โดยที่เกมวันนั้นได้รับการขนานนามว่า ‘Battle of Old Trafford’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกมที่เป็นจุดสูงสุดในความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างทั้งสองทีม
แต่นั่นก็ยังไม่อื้อฉาวเท่ากับกรณี ‘พิซซ่าเต็มหน้า’ หรือ ‘Pizzagate’ ที่มีใครสักคนปาพิซซ่าออกมาจากห้องแต่งตัวของอาร์เซนอลในวันที่สถิติไร้พ่าย 49 นัดของ ‘The Invincibles’ ถูกหยุดโดยแมนฯ ยูไนเต็ด โดยที่พิซซ่าชิ้นนั้นลอยเข้าเต็มหน้าของเฟอร์กี
ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่พอสมควรในเวลานั้น (และถูกเรียกล้อเลียนเกมก่อนว่า ‘Battle of Buffet’)
กว่าที่เราจะรู้ว่าคนที่ปาพิซซ่าชิ้นนี้คือเซสก์ ฟาเบรกาส ซึ่งเวลานั้นเป็นดาวรุ่งตัวน้อยๆที่เพิ่งย้ายมาจากบาร์เซโลนาก็กินเวลาหลายปีทีเดียว
อย่างไรก็ดีถึงแม้เฟอร์กีและเวนเกอร์จะฟาดฟันด้วยวาจาเชือดเฉือนแค่ไหนก็ตามตลอดช่วงเวลาที่แข่งขันกัน โดยเฉพาะในช่วงการช่วงชิงความเป็นหนึ่งของแผ่นดินตั้งแต่ปี 1996-2004
ลึกๆ แล้วทั้งสองต่างรู้ความรู้สึกในใจของตัวเองกันอย่างดี ว่าต่างยอมรับและนับถือฝีมือของอีกฝ่ายกันมากแค่ไหน และเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกชิงชังระหว่างกันก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านถ้อยคำที่เอ่ยถึงอีกฝ่ายด้วยความเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากที่ต่างวางมือจากการคุมทีมแล้ว โดยเฟอร์กูสันอำลาวงการก่อนในปี 2013 ขณะที่เวนเกอร์จำใจลาอาร์เซนอลในปี 2018
ที่สำคัญเวนเกอร์เป็นคนแรกๆ บนโลกใบนี้ที่ล่วงรู้ว่าคู่ปรับคนนี้จะวางมือในช่วงปี 2012 โดยที่เฟอร์กีไม่ได้บอกด้วยคำพูดโดยตรง แต่อาศัยการบอกแบบอ้อมๆผ่านการโทรมาเพื่อสอบถามโอกาสในการดึงตัวโรบิน ฟาน เพอร์ซี ศูนย์หน้ากัปตันทีมกันเนอร์ส มาร่วมทีม
จริงอยู่ที่สถานการณ์ระหว่างอาร์เซนอลกับฟาน เพอร์ซีไม่ดีนักเพราะสัญญาของนักเตะเหลือแค่ปีเดียว แต่การที่ทีม (ที่เคยเป็น) คู่แข่งสายตรงอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดจะมาขอซื้อกองหน้าตัวเก่งกันแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ปกตินัก
เวนเกอร์จึงรู้ได้ทันทีว่าเฟอร์กีกำลังคิดที่จะวางมือและหวังจะคว้าแชมป์ให้ได้อีกสมัยเป็นการส่งท้าย หลังจากที่เจ็บปวดจากการโดนแมนฯ ซิตี แซงคว้าแชมป์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของฤดูกาล 2011/12
จากคู่แข่งจึงกลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจ
จากศัตรูกลายเป็นคู่ที่ไม่มีความอาฆาตอะไรหลงเหลือ
สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงความทรงจำของวันที่หัวใจยังเต้นรัวและเลือดยังไหลเวียนร้อนแรง และความนับถือระหว่างกันและกัน
ไม่มีนายฉันก็คงไม่มีวันเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้นแบบนี้
ใช่ไหมเพื่อนยาก