Wells Fargo หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานพิเศษในชื่อว่า ‘Understanding Cryptocurrency’ พร้อมกับตั้งคำถามถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีว่า ‘แค่เริ่มต้น หรือ สายเกินไปแล้ว?’
Wells Fargo เชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นการลงทุนหนึ่งที่จะเติบโตต่อไปได้ แม้ว่าตอนนี้วิวัฒนาการของมันจะยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Wells Fargo แนะนำว่า การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีควรจะทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งให้บริการลงทุนแก่บุคคลในวงจำกัดเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็ไม่แนะนำการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น กองทุนรวม, ETFs, ทรัสต์ หรือแม้แต่การเก็งกำไรส่วนบุคคล เนื่องจากการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้ Wells Fargo ยังคาดหวังว่าจะเห็นกฎเกณฑ์ในการควบคุมที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ เพื่อนำไปสู่ทางเลือกในการลงทุนที่มีคุณภาพมากขึ้น
ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา คริปโตเคอร์เรนซีเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาใหม่ในตลาดดูเหมือนจะช้าเกินไปแล้ว อย่างกรณีของ Bitcoin ซึ่งราคาเพิ่มขึ้น 216% ต่อปี นับแต่เริ่มมีการบันทึกราคาเมื่อปี 2010 ขณะที่ผลตอบแทนรวม (Total Return) ของ S&P 500 อยู่ที่เพียง 16% ต่อปี
ขณะเดียวกันเรื่องราวของบุคคลที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีตั้งแต่แรก จนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านก็ได้รับความสนใจจากสื่อมากขึ้น จากการจัดอันดับ World’s Billionaires ของ Forbes ในปี 2021 ที่ผ่านมา พบว่ามี 12 จาก 2,755 คน ที่ร่ำรวยติดอันดับจากคริปโตเคอร์เรนซี
การที่ผู้คนจะรู้สึกว่า ‘สายเกินไปแล้ว’ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่เราเชื่อว่าการยึดโยงกับผลตอบแทนในอดีตมากเกินไปโดยเฉพาะกับคริปโตเคอร์เรนซี อาจทำให้นักลงทุนที่เข้ามาใหม่มองภาพผิดไปได้ เนื่องจาก
- ผลตอบแทนที่สูงมากในช่วงแรก เพราะแต่ละเหรียญต่างพุ่งขึ้นมาจากระดับที่ใกล้กับศูนย์ ในระยะแรกมีการเก็งกำไรสูงมากและเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นคริปโตเคอร์เรนซีใหม่ๆ ปล่อยออกมาที่ราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ อย่างกรณีของ Bitcoin ซึ่งกว่าจะซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจริงๆ ต้องใช้เวลาถึง 16 เดือนหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นมา และมูลค่าของ Bitcoin ในตอนแรกอยู่ที่เพียง 0.004 ดอลลาร์ ก่อนจะสามารถทะลุ 1 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2011
- คริปโตเคอร์เรนซีส่วนมากยังมีอายุต่ำกว่า 5 ปี และยังมีความผันผวนสูงมาก อย่าง Bitcoin ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดและเป็นหนึ่งในเหรียญที่ผันผวนน้อยที่สุด แต่มันก็ยังผันผวนมากกว่าทองคำและตะกร้าของหุ้นทั่วโลกถึง 4 เท่า
- คริปโตเคอร์เรนซีแตกต่างออกไปจากการลงทุนประเภทอื่น ทำให้มันถูกทำความเข้าใจและจะเข้ามาลงทุนได้ยากกว่า โดยหลักแล้วเกิดจากความซับซ้อนในเรื่องของเทคโนโลยี รวมถึงการที่คริปโตเคอร์เรนซีถูกพัฒนาขึ้นมานอกระบบการเงินแบบดั้งเดิม ทำให้มันดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและการวิเคราะห์ได้ยากกว่า
โดยรวมแล้ว Wells Fargo มองว่าคริปโตเคอร์เรนซียังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นขนาดนั้น เหตุผลเบื้องหลังมาจากอัตราการเปิดรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง ซึ่งลักษณะการเปิดรับดังกล่าวคล้ายกับเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ อาทิ อินเทอร์เน็ต โดยเรามองว่าคริปโตเคอร์เรนซีอาจจะอยู่ใกล้กับจุดเปลี่ยนเว้าของการเปิดรับ (Adoption Inflection Point) คล้ายกับการเปิดรับอินเทอร์เน็ตในช่วงกลางถึงปลายของยุค 90
จากตัวอย่างของการเปิดรับอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1983 แต่มาจนถึงปี 1995 ยังมีเพียง 14% ของชาวอเมริกัน คิดเป็นอัตราส่วนต่ำกว่า 1% ของประชากรโลกที่ใช้อินเทอร์เน็ตในขณะนั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคล้ายกับตัวเลขของการเปิดรับคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบันอย่างน่าประหลาดใจ โดย 13% ของชาวอเมริกันใช้จ่ายหรือซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลการสำรวจของมหาวิทยาลัยชิคาโก และมีประชากรเพียงประมาณ 3% ทั่วโลกที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซี จากข้อมูลของ Crypto.com
อย่างไรก็ตาม จากจำนวนผู้ใช้งานในระดับ 221 ล้านราย ซึ่งคิดเป็น 3% ของประชากรโลก แม้จะยังเป็นตัวเลขที่ไม่สูงนัก แต่การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานจาก 100 ล้านราย มาสู่ระดับ 200 ล้านราย ใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือน
หากแนวโน้มการเปิดรับยังคงอยู่ในอัตราเท่านี้ เชื่อว่าอัตราเปิดรับคริปโตเคอร์เรนซีในอนาคตจะเป็นภาพคล้ายกับการเปิดรับเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเฉพาะการเปิดรับอินเทอร์เน็ตในอดีต ซึ่งผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 77 ล้านราย ในปี 1996 ก่อนจะแตะระดับ 412 ล้านราย ในปี 2000 และในปี 2010 ที่ผ่านมา ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.98 พันล้านราย และมาถึง 4.9 พันล้านราย ในปัจจุบัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนการเปิดรับคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบัน คือพัฒนาการในเรื่องของกฎเกณฑ์การควบคุม ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องของกฎเกณฑ์ที่ยังไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ยังไม่อยากจะเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ Wells Fargo แนะนำทิ้งท้ายประกอบไปด้วย 3 ส่วน
- จงอดทน
ไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อน เหมือนกับโอกาสส่วนมากที่มักจะอยู่ตรงหน้าเรา ไม่ใช่อยู่ข้างหลังเรา ปัจจุบันมูลค่าตลาดของคริปโตเคอร์เรนซียังคงต่ำกว่าบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc.
- จงรอบคอบ
การเปิดรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทางเลือกในการลงทุนยังไม่มากขนาดนั้น ในปัจจุบันมี 3 ทางเลือกที่เราจะสามารถมีส่วนร่วมได้ คือ
2.1 ซื้อคริปโตเคอร์เรนซีจากศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยน
2.2 ซื้อผ่านกองทุนรวม กองทุน ETFs และกองทรัสต์
2.3 แลกเปลี่ยนกันโดยตรงกับผู้อื่น
โดยทางเลือกแรกยังมีความเสี่ยงสูงและความซับซ้อนของเทคโนโลยี ส่วนทางเลือกที่สองก็ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญคือ กองทุนส่วนมากจะมีสินทรัพย์หนุนหลังเป็นสัญญาฟิวเจอร์ส ไม่ใช่สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นๆ อย่างแท้จริง ซึ่งเราหวังว่าผู้ควบคุมกฎจะอนุญาตให้กองทุนต่างๆ สามารถถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในอนาคตอันใกล้นี้ และจนกว่าจะถึงวันนั้นทางเลือกที่ 3 ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
- จงระมัดระวัง
ในระยะเริ่มต้นของการงทุนมักจะต้องเผชิญกับวัฏจักรขาขึ้นและขาลงอย่างหนัก คล้ายกับที่เห็นจากฟองสบู่ดอทคอม ปัจจุบันมีคริปโตเคอร์เรนซีอยู่กว่า 16,000 เหรียญ และหากเราสามารถอ้างอิงจากอดีตได้ เหรียญส่วนมากจะล้มหายไป หรืออย่างน้อยคือไม่สามารถเติบโตต่อได้
ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จในระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย นักลงทุนต้องคอยพิจารณาผู้ชนะและผู้แพ้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างกรณีของเว็บไซต์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงปี 1996-1997 หลายเว็บไซต์เหล่านั้นกลับไม่สามารถจะเติบโตต่อไปได้เกินกว่าปี 2000
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: Cryptocurrencies – too early or too late? (wellsfargoadvisors.com)
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP