ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากประเด็นสงครามการค้า (Trade War) ขณะที่การค้าและเศรษฐโลกมีความเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลให้แม้กระทั่งบิ๊กคอร์ปพลังงานอย่าง บมจ.ปตท. หรือ PTT ต้องยอมถอยออกมาจากธุรกิจที่เคยมองว่าจะเป็นอนาคต เพราะต้องปรับกลยุทธ์หันไปให้ความสำคัญในธุรกิจที่มีความถนัด
วานนี้ (10 มิถุนายน) ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด (IMD) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการ ของ IMD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ร่วมกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ที่ถือหุ้นใน สัดส่วน 60% โดยมีทุนจดทะเบียน 282 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการ แล้วเสร็จภายในปี 2568 ทั้งนี้ การเลิกกิจการของ IMD เป็นไปตามนโยบายของ ปตท.ในการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ
ด้านเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในประเด็นดังกล่าวมีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ ปตท. ระบุไว้ข้างต้น
ทำความรู้จัก ‘อินโนโพลีเมด’ ที่กำลังจะยกเลิกกิจการ
บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2564 ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง IRPC และ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นทั้งหมด) มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ที่ขึ้นรูปด้วยวิธี Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น นับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบ เพิ่มเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมกับสากล คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 4/2564 ซึ่งช่วงนั้นกำลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19
บรรยากาศผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ในงานเปิดโรงงานผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (non-woven fabric) ของ อินโนโพลีเมด ณ เขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี จ.ระยอง เมื่อปี 2565
โดยสอดคล้องกลยุทธ์ของธุรกิจกลุ่ม ปตท.ในตอนนั้นที่มี อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในช่วงปี 2563-2567 ที่มีวิสัยทัศน์สำคัญ คือ ‘Powering Life with Future Energy and Beyond’ โดยต้องการรุกเดินหน้าการลงทุนธุรกิจ Life Science ของกลุ่ม ปตท. โดยผสานความรู้ด้านวัสดุศาสตร์กับความรู้ด้านการแพทย์และสุขภาพของทั้งสองบริษัทมารวมกัน ขับเคลื่อนธุรกิจการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 กลุ่มธุรกิจใหม่ในด้าน Life Science ของ ปตท. ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ คือ การสร้าง Product Champion ที่สามารถต่อยอดเป็นวัสดุและชิ้นส่วนประกอบที่สำคัญในอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพอื่นๆ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และส่งเสริมนโยบายการพัฒนา New S-Curve ทางด้าน Medical Technology ของประเทศไทย
‘คงกระพัน’ ซีอีโอคนใหม่ ปตท. ปรับกลยุทธ์ตัดธุรกิจที่ไม่สำเร็จ
หลังจาก ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง มารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการคนที่ 11 ของ PTT ในปี 2567 ได้ออกมาสื่อสารแผนธุรกิจในกลุ่ม ปตท. จากนี้จะต้องมองการ ‘สร้างกำไรในระยะยาว’ ขณะที่การลงทุนของจะเน้นความคล่องตัว ต้องเน้นความเร็วและการตัดสินใจที่ไว ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน นำทรัพยากรที่มีมาใช้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม
หมายถึงธุรกิจไหนดีต้องต่อยอด ถ้าธุรกิจไหนที่เคยดีแต่ตอนนี้ไม่ดี ก็ต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยนและทบทวนได้เร็ว โดยจากนี้ไปปตท.จะต้องปรับตัว และกลับมาทำเรื่องที่บริษัทถนัด นั่นคือ พลังงานเพื่อความมั่นคงทาง เพื่อรองรับการเติบโต และจะลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง มารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท.
โดย ปตท. จะไม่เน้นลงทุนจำนวนมากในเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เชี่ยวชาญ และหากธุรกิจใดที่ทดลองทำไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็จะปรับลด โดยอาจจะทยอยตัดขายธุรกิจนั้นๆ ออกไป จึงเริ่มเห็นการขยับถอยออกจากธุรกิจที่ไม่ถนัดหรือ ไม่ใช่ Core Business ของ ปตท.ในยุคของ ดร.คงกระพัน
ลดส่วนหุ้น JV ส่งสัญญาณถอยผลิตรถยนต์ EV
ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณการถอยออกของ ปตท. มาแล้วจากธุรกิจใหม่ที่อาจไม่ถนัด คือ การผลิต EV หลังจากช่วงต้นปี 2568 ปตท. เดินหน้าปรับโครงสร้างถือหุ้นใน Horizon Plus ให้บริษัทย่อย Arun Plus ถือหุ้นลดลงเหลือ 40% จาก 60% ส่งผลให้ Lin Yin บริษัทลูก ฟอกซ์คอนน์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน
โดยบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ได้มีมติอนุมัติการ ปรับโครงสร้างการถือหุ้น Horizon Plus ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท. และบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin)ในสัดส่วนการถือหุ้น 60% และ 40% ตามลำดับ
โดยให้ Horizon Plus ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว เป็นจำนวนเงินประมาณ 5,100 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลดทุนจดทะเบียน Arun Plus และ Lin Yin จะมีสัดส่วน การถือหุ้นใน Horizon Plus 40% และ 60% ตามลำดับ และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว คงเหลือจำนวน ประมาณ 5,400 ล้านบาท ซึ่งการลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของ Horizon Plus เป็นไปตามนโยบายการปรับโครงสร้าง การดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ ปตท.
ตัวอย่างโมเดลรถ EV ที่ผลิตจากโรงงาน Horizon Plus
สำหรับตัดใจลงทุน JV ของ ปตท. ตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) เกิดขึ้นในช่วงปี 2565 ร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการร่วมทุนประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในยุคของ ซีอีโอ ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ ตั้งใจวางโพสิชันของ ARUN PLUS เป็น EV Flagship ซึ่ง Horizon Plus มีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งเดิมมีกำหนดแล้วเสร็จและสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อ หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ออกสู่ตลาดได้ภายในปี 2567 มีกำลังการผลิตที่ 50,000 คันต่อปีในเฟสแรก และจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คันต่อปีภายในปี 2567
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท. (PTT)
แต่จนถึงปัจจุบันโรงงาน JV ดังกล่าวยังไม่ได้ก่อสร้าง เพราะถูกผลกระทบจากการผลิตรถ EV ในประเทศของจีนมีปัญหาการผลิตที่เกินกับความต้องการ หรือ Oversupply ประกอบกับปัจจัยเศรษฐกิจภายในของจีนที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตรถ EV จีนต้องเร่งส่งออกระบายรถออกมายังตลาดต่างประเทศในลักษณะทุ่มตลาด ส่งผลให้รถ EV ที่ส่งออกจากจีนมีราคาถูกหรือตกต่ำกระจายไปขายในทั่วโลก และยังสร้างปัญหาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมรถ EV ทั่วโลก จนทำให้ Horizon Plus ต้องชะลอการสร้างโรงงานผลิต EV ในไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปรับโครางการการถือหุ้น Horizon Plus ส่งผลให้ Lin Yin กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Horizon Plus ด้วยสัดส่วนหุ้น 60% ทำให้ Lin Yin จึงกุมอำนาจในการตัดสินใจต่างๆ แทน ปตท. ที่ถอยออกมาลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 40%
จ่อปิดที่ไม่ใช่ Core Business เพิ่ม
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจาก ปตท. เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาการยกหรือปิดกิจการในธุรกิจอื่นๆ ที่บริษัทฯ ไม่มีความถนัด หรือไม่ใช่ Core Business และไม่ทำกำไรซึ่งจะทยอยทำอย่างต่อเนื่องซึ่งจะทยอยเห็นความชัดเจนออกมาอย่างต่อเนื่องอีกในอนาคต
ดังนั้น การถอยหรือตัดสินใจยกเลิกธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ชื่อ ชื่อบริษัท อินโนโพลีเมด ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับนโยบายของซีอีโอ ‘คงกระพัน’ ที่ประกาศว่าจะกลับมาทำในเรื่องที่บริษัทถนัด