×

ทำไม ‘กสิกรไทย’ ทุ่ม 8.8 พันล้านบาท ซื้อหุ้นคืนอีกครั้ง ในรอบเกือบ 6 ปี

04.11.2025
  • LOADING...
ทำไม ‘กสิกรไทย’ ทุ่ม 8.8 พันล้านบาท ซื้อหุ้นคืน อีกครั้ง ในรอบเกือบ 6 ปี

HIGHLIGHTS

  • ในอดีต ‘ทุนสำรอง’ หรือเงินกองทุนตามกฎหมายของ KBank อยู่ที่ราว 18% ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงแล้ว ก่อนที่ตัวเลขดังกล่าวจะขยับขึ้นมาเป็นกว่า 21% ในปัจจุบัน
  • นักลงทุนมักจะมีคำถามว่า ทุนสำรองสูงไปหรือไม่ แล้วระดับที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่เท่าไร
  • ทางเลือกในการบริหารเงินกองทุนมีหลากหลาย ซึ่งธนาคารได้ ตัดสินใจนำทุนสำรองบางส่วนมาใช้สำหรับซื้อหุ้นคืน
  • โครงการซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในแนวทางในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ร่วมกับแนวทางอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น แม้กระบวนการโดยปกติจะซับซ้อนกว่าจ่ายปันผล
  • อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธนาคารตัดสินใจเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่ สะท้อนมุมมองที่ผู้บริหารเห็นว่าราคา (หุ้น KBank) ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น ซึ่งการซื้อหุ้นคืนจะช่วยให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้มากขึ้น

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2563 ธนาคารกสิกรไทย (KBank) เคยประกาศซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คิดเป็นมูลค่ารวม 3.2 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 134 บาท

 

หลังจากผ่านมาเกือบ 6 ปี ธนาคารกสิกรไทย กลับมาประกาศซื้อหุ้นคืนอีกครั้ง ด้วยวงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 2% ของหุ้นทั้งหมด อะไรคือสาเหตุสำคัญเบื้องหลังโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่นี้

 

ทุนสำรองส่วนเกิน ที่ดูเหมือนจะมากเกินไป

 

หนึ่งในเหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญของโครงการซื้อหุ้นคืนล่าสุด คือ การบริหารทุนสำรองให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

ในอดีต ‘ทุนสำรอง’ หรือเงินกองทุนตามกฎหมายของ KBank อยู่ที่ราว 18% ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงแล้ว ก่อนที่ตัวเลขดังกล่าวจะขยับขึ้นมาเป็นกว่า 21% ในปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท

 

นักลงทุนมักจะมีคำถามว่า ทุนสำรองสูงไปหรือไม่ แล้วระดับที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่เท่าไร

 

ทางเลือกในการบริหารเงินกองทุนมีหลากหลาย ซึ่ง ธนาคารได้ตัดสินใจนำทุนสำรองบางส่วนมาใช้สำหรับซื้อหุ้นคืน ในอดีตธนาคารมีทุนสำรองราว 18% ล่าสุดเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 21%

 

โครงการซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในแนวทางในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ร่วมกับแนวทางอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น แม้กระบวนการโดยปกติจะซับซ้อนกว่าจ่ายปันผล

 

เมื่อปี 2563 ธนาคารเคยทำโครงการซื้อหุ้นคืนมาแล้ว ในครั้งนั้นกำหนดว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ก่อนที่ธนาคารจะนำหุ้นที่ซื้อหุ้นคืนดังกล่าวไปลดทุนจดทะเบียน

 

ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในไทย หลังจากซื้อหุ้นคืนและครบกำหนดระยะเวลาถือครองแล้ว ขั้นตอนแรกหลังจากนั้นคือ การจำหน่ายคืนในตลาด แต่หากไม่สามารถจำหน่ายคืนได้ ด้วยเหตุผลเช่น ราคาหุ้น ณ ขณะนั้นต่ำกว่ากรอบราคาที่กำหนดไว้ ก็จะข้ามไปสู่การนำหุ้นซื้อคืนไปลดทุนจดทะเบียน

 

ราคาหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น?

 

นอกจากการบริหารสภาพคล่องให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้ว อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธนาคารตัดสินใจเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่นั้น สะท้อนมุมมองผู้บริหารว่า ราคา (หุ้น KBank) ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น การซื้อหุ้นคืนจะช่วยให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้มากขึ้น

 

แม้ว่าราคาหุ้นของ KBank ในปัจจุบัน (ล่าสุด ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน) ปิดที่ 187.50 บาท จะเป็นราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโครงการซื้อหุ้นคืนในอดีต

 

ทั้งนี้ หากมองไปในบริบทระดับโลก จะเห็นว่าการซื้อคืนในกลุ่มสถาบันการเงินนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง เราเห็นสถาบันการเงินอย่าง JPMorgan Chase, Bank of America, Citi Group หรือ Standard Chartered ต่างซื้อหุ้นคืนอยู่บ่อยครั้ง

 

อย่างไรก็ดี กระบวนการซื้อหุ้นคืนที่โดยปกติสามารถทำได้หลากหลายวิธี ธนาคารมองว่าการจับคู่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด เพราะเป็นการสุ่มจับคู่ธุรกรรม

 

ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนของ KBank ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึง 13 พฤษภาคม 2569 กำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 47,386,552 หุ้น โดยตามกฎระเบียบข้อกฎหมายแล้วราคาหุ้นซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อหุ้นคืนในแต่ละครั้ง บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว

 

การซื้อหุ้นคืนของ KBank ในครั้งนี้ จึงเป็นกลไกที่ใช้บริหารสภาพคล่องส่วนเกินเพื่อเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และยังส่งสัญญาณความเชื่อมั่นในมูลค่าพื้นฐานของธนาคาร ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินที่พบเห็นได้บ่อยในกลุ่มสถาบันการเงินทั่วโลก เสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในตลาดทุนไทยโดยรวม

 

และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ผลบวกทางอ้อมต่อลูกค้าและประเทศ เพราะการนำทุนสำรองส่วนเกินมาใช้ประโยชน์นี้ ตอกย้ำความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงินในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าผู้ฝากเงินและคู่ค้าของ KBank อีกด้วย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising