จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568
โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายปี 2551
โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาห้ามขาย (ช่วงเวลา 00.00 น.-11.00 น. และช่วง 14.00-17.00 น.) โดยเฉพาะประเด็นห้ามนั่งต่อหลังเที่ยงคืน
โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท (ทั้งผู้ขาย-ผู้บริโภค)
ขณะที่ รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นดังกล่าวสร้างความสับสนต่อผู้ประกอบการและกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่น้อย แม้กฎหมายใหม่จะมีข้อดี ในการยกระดับการป้องกันเยาวชนและการเมาแล้วขับ ซึ่งภาคธุรกิจพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ข้อกำหนดในเรื่องการคงข้อห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว และยังเพิ่มมาตรา 32 (ใหม่) ที่ระบุ ‘ห้ามบริโภค’ ในสถานที่ขายในช่วงเวลาห้ามขายดังกล่าวด้วย
วันนี้ 12 พ.ย.) กลุ่มเอกชนเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือต่อ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยมี สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ
สาระสำคัญของหนังสือระบุว่า กลุ่มผู้ประกอบการขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณายกเลิกข้อห้าม “นั่งดื่มนอกเวลาขาย”
ดังนั้น คณะกรรมการอยู่ระหว่างเร่งแก้ปัญหา โดยเร็วซึ่งคาดว่าจะนัดประชุมได้ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ และจะมีแนวทางที่ชัดเจนถึงทางออกของเรื่องดังกล่าวภายในวันที่ 4 ธ.ค.นี้
TDRI ชี้ ‘การห้ามขายเวลา 14.00-17 น.’ ไม่ได้ผลตามเป้าหมาย
ล่าสุด สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวน การห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. เป็นมาตรการที่บังคับใช้มานานกว่า 50 ปี (ตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ในปี 2515)
โดยที่ผ่านมายังไม่มีการประเมินผลกระทบอย่างจริงจัง จนกระทั่งรายงานการศึกษาเชิงลึกโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)ได้ชี้ชัดว่ามาตรการนี้ไม่บรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข และอาจสร้างความท้าทายทางเศรษฐกิจ
รายงานของ TDRI ซึ่งสำรวจผู้บริโภค 1,370 ราย และผู้ประกอบการ 283 ราย สรุปอย่างชัดเจนว่า “การจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.01 – 17.00 น. อาจไม่ได้ผลในการลดการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่กฎหมายตั้งใจไว้”
ข้อมูลเชิงประจักษ์จาก TDRI ยืนยันว่า
- การบริโภคไม่ลดลง: ปริมาณการบริโภคต่อหัวประชากรยังคงที่ แม้บังคับใช้กฎหมายนี้มานาน
- การดื่มหนักยังคงเดิม: ปริมาณการบริโภคต่อผู้ดื่มกลับมาอยู่ที่ 26 ลิตรต่อปี ซึ่ง TDRI ระบุว่า “สูงมากผิดปกติ” (5.4 แก้วมาตรฐานต่อวัน)
- มีการละเมิดสูง: ผู้บริโภค 22% ยืนยันว่ายังสามารถหาซื้อเครื่องดื่มในช่วงเวลาห้ามขายได้ และผู้ประกอบการถึง 39% รายงานว่า พบเห็นการจำหน่ายในช่วงเวลาดังกล่าวในพื้นที่ใกล้เคียง
การที่ พ.ร.บ. 2568 ใหม่ เพิ่มการ ‘ห้ามดื่ม’ เข้ามา อาจสร้างความท้าทายเพิ่มเติมต่อผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยข้อมูล TDRI ชี้ว่าการห้ามช่วงบ่าย เป็นเพียงการผลักดันการซื้อขายไปสู่ช่องทางนอกระบบ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี และผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตาม กฎหมายเสียโอกาสทางธุรกิจ
ค้าปลีกและกลุ่มท่องเที่ยว หวั่นกฎหมายใหม่สวนนโยบายรัฐ
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่อง (ร้านอาหาร โรงแรม การท่องเที่ยว) ถือเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดย TDRI ระบุว่า มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงเกือบ 6 แสนล้านบาทต่อปี และเชื่อมโยงกับสถานประกอบการกว่า 312,000 แห่ง ทั่วประเทศ

ดร. ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมค้าปลีกไทย (TRA) ให้ความเห็นว่า “การปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการทุกขนาดจากข้อมูล TDRI ที่ชี้ว่ามีการละเมิดสูงอยู่แล้วการปลดล็อกจะช่วยดึงกิจกรรมเศรษฐกิจกลับเข้าระบบ และช่วยให้หน่วยงานรัฐมุ่งเน้นทรัพยากรไปแก้ปัญหาที่แท้จริง เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคธุรกิจและสังคม”
ด้านดำรงค์เกียรติ พินิจการ เลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยว เมืองพัทยา กล่าวเสริมว่า “ข้อจำกัดการห้ามขายในช่วงบ่ายเป็นกฎระเบียบที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับบริบทการท่องเที่ยวปัจจุบัน การปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้ รวมถึงการพิจารณาขยายเวลาจำหน่ายให้ถึงตี 2 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล ดังที่เห็นจากนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการถึง 20-30% และพนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจพร้อมร่วมมือกับภาครัฐในการดูแล และป้องกันผลกระทบทางสังคมอย่างเข้มงวด ด้วยมาตรการที่เรามีอยู่แล้ว เช่น การจัดจุดพักคอยสำหรับผู้มีอาการมึนเมา และการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม
TDRI ชี้เป้า ‘แก้ให้ตรงจุด’
รายงานของ TDRI ไม่เพียงชี้ว่า การห้ามขาย 14.00-17.00 น. ไม่ได้ผล แต่ยังชี้เป้าว่า ปัญหาที่แท้จริงที่สังคมกำลังเผชิญและภาครัฐควรทุ่มทรัพยากรไปจัดการ คือ
- การขายให้เยาวชน: TDRI พบว่า 30% ของร้านค้ายังคงละเมิดกฎหมายขายให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี
- การเมาแล้วขับ: อุบัติเหตุ 22% เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ TDRI จึงเสนอให้ยกระดับมาตรการป้องกัน เช่น การใช้ระบบหักคะแนนแบบขั้นบันได
- อิทธิพลจากโฆษณาต่ำ: TDRI พบว่าเยาวชนได้รับอิทธิพลจาก ‘เพื่อน’ มากถึง 35.5% เทียบกับอิทธิพลจาก ‘โฆษณาออนไลน์’ ที่มีเพียง 1.8% เท่านั้น
TABBA วอนรัฐทบทวน ‘กฎหมายใหม่’ สอดรับ ‘นโยบายเศรษฐกิจ’
TABBA ย้ำว่า “นานาประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ และเยอรมนี แม้จะไม่มีข้อจำกัดเวลาขายในช่วงบ่าย แต่ก็ประสบความสำเร็จในการจัดการผลกระทบทางสังคมโดยมุ่งเน้นมาตรการที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลมีทางเลือกที่ชัดเจนในการบริหารนโยบาย คือการบังคับใช้มาตรการที่ข้อมูล”
TDRI ชี้ว่า ‘อาจไม่ได้ผล’ และกำลังถูกเพิ่มความเข้มงวดด้วย พ.ร.บ. ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว หรือ รัฐบาลสามารถเลือกปรับมาตรการเพื่อสนับสนุนนโยบายหลักของตนเอง โดยใช้อำนาจตาม มาตรา 28 (ใหม่) ใน พ.ร.บ. 2568 ซึ่งให้อำนาจ ‘คณะกรรมการควบคุมฯ’ ในการกำหนดเวลา
ภาคธุรกิจจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ เร่งพิจารณาข้อมูลของ TDRI และทบทวนการห้ามขายและห้ามบริโภคในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้อง ใช้กฎระเบียบที่ทันสมัยและอิงตามข้อมูลเชิงประจักษ์

‘เสถียร’ แห่งคาราบาว มองกฎหมายเข้มงวดมากเกินไป
ด้าน เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว แสดงความเห็นว่า พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ว่า มาตรการนี้เข้มงวดมากเกินไป แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้กระทบต่อธุรกิจของคาราบาว เนื่องจากบริษัทจำหน่ายสินค้าตามเวลาที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับบริษัท
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มองว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจสร้างอุปสรรคต่อนโยบายของรัฐบาล
สภาอุตฯ ชี้รัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กฎหมายแอลกอฮอล์ยังมีความทับซ้อน และสร้างความมึนงงอยู่มาก เนื่องจากผู้ออกกฎหมายมีหน้าที่ออกกฎหมาย เพื่อควบคุมการทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ซึ่งข้อกฎหมายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องการทำธุรกิจ ทำให้ผู้ที่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามรู้สึกว่ากฎหมายนี้มันมีข้อกำหนดมากเกินไป
“เพราะฉะนั้น กกร.หรือสภาอุตสาหกรรม พูดถึงปัญหาซ้ำซาก ก็เพื่อนำไปสู่ทุกภาคส่วน จะต้องเข้ามาแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง กฎหมายแอลกอฮอล์ที่บอกว่างงอาจไม่ได้มึนงงที่แอลกอฮอล์ แต่มึนงงเพราะความทับซ้อน”

‘สมาคมถนนข้าวสาร’ จี้ รัฐทบทวน พ.ร.บ.
ด้านสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 เป็นการควบคุมที่ไม่สมเหตุสมผล
สะท้อนถึงความไม่เข้าใจธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของรัฐบาล เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่กลับมีการออกข้อจำกัดที่กดทับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแทนที่จะส่งเสริม
ส่วนกฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าต้องหยุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และให้นักท่องเที่ยวออกจากร้านภายในเวลาเที่ยงคืน เป็นมาตรการที่ไม่ make sense
“แทนที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้านั่งใช้จ่ายต่อเนื่อง กลับจำกัดเวลาและรายได้ของผู้ประกอบการโดยตรง”
“แน่นอนว่า ผลกระทบจากข้อจำกัดดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เมื่อสถานทูตออสเตรเลียออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวของประเทศตัวเองระมัดระวังเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย”
ภาพ: Aanarav Sareen/Getty Images


