×

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จับสัญญาณความผันผวนเศรษฐกิจโลก 2025 จากนโยบายการค้าในยุค ‘ทรัมป์ 2.0’ [ADVERTORIAL]

11.12.2024
  • LOADING...
Wealth Forum Thailand 2025

บทสรุปแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและโอกาสการลงทุนจากงานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Wealth Forum Thailand 2025: The New Frontiers of Investment Opportunity’ ที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทย ส่งท้ายปี 2024 ก่อนจะเริ่มต้นเปิดฉากใหม่ในปี 2025 โดยมีทีม K WEALTH ธนาคารกสิกรไทย รวมถึงนักวิเคราะห์การเงินจากสถาบันการเงินพันธมิตรระดับโลกอย่าง J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) และ Lombard Odier

 

“ปี 2024 เต็มไปด้วยความผันผวน แต่หนึ่งธีมใหญ่ของปีหน้าที่จะกระทบต่อภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลกคงหนีไม่พ้นปัจจัย ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ โดยจะยังคงมีความไม่แน่นอนและเป็นไปได้ว่าจะไม่ต่างจากปีนี้มากเท่าไร” ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงาน

 

 

เมื่อพูดถึงปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปี 2025 จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ เนื่องจากนี่เป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเมืองที่กำลังจะมีผู้นำฝ่ายตรงข้ามอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน มาแทนที่ประธานาธิบดีคนเดิมอย่าง โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 

 

‘ทรัมป์’ ผู้เตรียมพลิกกฎระเบียบการค้าโลก

 

ในฐานะประเทศผู้นำโลก นโยบายเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เลือกเดินหน้าจะส่งอิทธิพลไปสู่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยหนึ่งในแกนหลักของนโยบายทรัมป์คือการยึดประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก 

 

Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier ฉายภาพการขึ้นมาของทรัมป์ว่ามีสองส่วนสำคัญของนโยบายที่ต้องให้ความสนใจ นั่นคือ 2T หรือ ‘Tax’ และ ‘Tariff’ โดยภาษีในประเทศเขาประกาศชัดว่าจะเก็บภาษีนิติบุคคลให้น้อยลง ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่ารายได้ภาครัฐจะลดลง แต่ในขณะเดียวกัน เงินส่วนที่จะเข้ามาอุดช่องว่างส่วนนี้คือการลดเงินสนับสนุนในพลังงานสะอาดและจะเก็บภาษีนำเข้าจากต่างประเทศอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย

 

นำมาสู่อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ และต้องพึ่งพาการส่งออกอาจเจอกับความท้าทาย เช่น ประเทศไทยที่การส่งออกมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากมาตรการที่สหรัฐฯ จะกีดกันการค้ากับจีนจนนำมาสู่สินค้าจีนที่อาจทะลักเข้ามาในไทย ส่งผลให้เราเจอกับแรงกดดันทางราคา 

 

อย่างไรก็ดี ผลกระทบดังกล่าวต่อไทยเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาดูกันต่อไป โดย Homin กล่าวว่าภาพจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในกลางปี 2025

 

Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier 

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนก็คือความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าเป็นความเสี่ยงที่ทุกประเทศต้องปรับตัวเข้ากับเรื่องนี้ให้ได้ โดยนัยต่อการลงทุนคือการที่นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงไปในหลากหลายประเทศมากกว่าที่จะเดิมพันกับการเติบโตของประเทศหรือภูมิภาคที่ใดที่หนึ่งอย่างเดียว

 

ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2025

 

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2025 จะยังมีความเสี่ยง แต่ถ้าหากเทียบกับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่โลกเผชิญทั้งวิกฤตโควิด ภาวะเงินเฟ้อที่สูง Jin Yuejue, Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist, Multi-Asset Solution Group จาก J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) มองว่านับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ

 

หากมองในฝั่งสหรัฐฯ Jin Yuejue คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจกำลังจะกลับมา เงินเฟ้อจะไม่ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงอย่างที่หลายคนคาดการณ์ และดอกเบี้ยก็กำลังปรับตัวลดลง รวมถึงตัวเลขในด้านการจ้างงานประกอบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงแข็งแกร่ง

 

Jin Yuejue, Asia Head of the Investment Specialist, Multi-Asset Solution Group, J.P. Morgan Asset Management (JPMAM)

 

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มประเทศนอกสหรัฐฯ อย่างภูมิภาคยุโรปก็เจอกับความท้าทายทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในคือการเติบโตที่ค่อนข้างโตต่ำ รวมถึงการที่หลายประเทศในยุโรปใช้จ่ายเกินตัวและปริมาณหนี้สินที่สูง ส่วนปัจจัยภายนอกคือเรื่องของสินค้าอย่างรถยนต์ ที่ในปัจจุบันถูกผู้ผลิตจากจีนแย่งส่วนแบ่งตลาด

 

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ยังน่าสนใจ แม้ว่าตลาดยังไม่ตอบรับกับตัวเลขเศรษฐกิจเชิงบวก แต่การปรับโครงสร้างของญี่ปุ่นเป็นโอกาสที่น่าสนใจในระยะกลาง

 

ส่วนประเทศไทยมีโอกาสดันเศรษฐกิจให้โตได้ด้วยนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่จะเข้ามาเพิ่มในปีหน้า โดยการแจกเงินครั้งนี้จะทำผ่านวอลเล็ต ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายมากกว่าการนำไปใช้หนี้สิน แต่ความท้าทายบ้านเราคือมาตรการรับมือสินค้าจีนทะลักและการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

 

แล้วเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญของนักลงทุนคือ “เราจะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรให้แข็งแรง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต?”

 

โอกาสและกลยุทธ์การจัดพอร์ตในปี 2025

 

“กระจุกให้น้อย กระจายให้เยอะ” นี่คือภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนที่ วีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวกับนักลงทุนบนเวที

 

ใจความสำคัญของการจัดสรรเงินทุนปีหน้าที่วีระพลฝากไว้เป็นข้อคิดให้กับนักลงทุนคือการแบ่งเงิน 70% ไว้สำหรับพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ให้ผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญบริหาร ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่เน้นกระจายความเสี่ยง ส่วนอีก 30% ของเงินที่เหลือเอาไว้สำหรับจับจังหวะหาโอกาส (Satellite Portfolio) ในการทำกำไรเมื่อตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น

 

วีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย

 

ทางด้านของ วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ CFA, รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้าว่า อัตราดอกเบี้ยไทยที่มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงทำให้สินทรัพย์อย่างตราสารหนี้น่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

 

“ผู้ลงทุนคนไหนที่มีเงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุน Term Fund ที่มีแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง ควรพิจารณาการลงทุนตราสารหนี้ ยืดอายุการถือครองเพื่อคว้าโอกาสการทำ Capital Gain ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก” วจนะกล่าวเสริม

 

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ CFA, รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย

 

ในฝั่งของสินทรัพย์อย่างหุ้น โดยเฉพาะหุ้นประเทศไทย ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยบทวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าเป้าหมายของ SET Index ในปี 2025 จะขึ้นไปอยู่ที่ 1,520 จุด หมายความว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะมีผลประกอบการตลาดโดยรวมต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจัยหลักมาจากกลุ่มพลังงานที่ถูกกระทบโดยราคาน้ำมันดิบ และกลุ่มธนาคารที่มีการเติบโตของสินเชื่อต่ำ  

 

“อีกสิ่งสำคัญตอนนี้ที่จะกำหนดการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยคือการโตของสินเชื่อจากธนาคาร เพราะนั่นหมายถึงสภาพคล่องของประเทศ ถ้าการปล่อยสินเชื่อยังไม่เพิ่ม จะหวังให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวก็เป็นไปได้ยาก รวมถึงเศรษฐกิจด้วย” สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย

 

ธีมหลักของหุ้นไทยที่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในปีหน้าผ่านเลนส์ของสรพล คือหุ้นที่ไม่ได้เติบโตเชิงรายได้อย่างเดียว แต่ต้องสามารถควบคุมต้นทุนธุรกิจไว้ให้อยู่ในระดับต่ำด้วย เช่น ต้นทุนพลังงาน หรือต้นทุนดอกเบี้ย โดยหุ้นไฮไลต์ที่ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย คัดมาจะมี TASCO, OSP, TIDLOR, CPALL และ PR9 

 

ในส่วนของภาพใหญ่ ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการโตอย่างทั่วถึง หุ้นเล็ก กลาง และหุ้นคุณค่า คือโอกาส

 

“กลยุทธ์การรับมือกับความผันผวนคือการกลับมามองเรื่อง Valuation ส่วนการเติบโตของหุ้นประเภท Growth เริ่มชะลอตัวลง รวมถึงนักลงทุนต้องมองเรื่องการกระจายความเสี่ยงด้วย” สรพลกล่าวเสริม

 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย

 

หุ้นจีนทยอยสะสมได้บ้างเล็กน้อย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลงทุน เพราะจำเป็นต้องมีติดพอร์ต อินเดียก็เช่นเดียวกัน ค่อยๆ สะสมระยะยาว ในขณะที่อีกหนึ่งประเทศไฮไลต์คือเวียดนาม มีโอกาสมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2 ประเทศ

 

รูปแบบการลงทุนเมกะเทรนด์ เรื่องของ AI และเทคโนโลยียังคงไปได้ดี แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเติบโตอาจไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงที่ผ่านมา 

 

สำหรับนักลงทุนที่มองหาโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์ความไม่แน่นอนในตลาดและมีการกระจายความเสี่ยง ทาง บลจ.กสิกรไทย มีกองทุน K-WealthPLUS Series ให้เลือกตามระดับความเสี่ยงและเป้าหมายที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยมี 3 ตัวเลือก ได้แก่ 

 

  • K-WPBALANCED ลงทุนผสมแบบบาลานซ์ เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 55-85% หุ้น 15-45% เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตมากขึ้นจากการลงทุนหุ้นบางส่วน
  • K-WPSPEEDUP ลงทุนผสม เน้นสัดส่วนในหุ้นมากขึ้น 50-80% เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ไม่อยากให้พอร์ตเหวี่ยงมากไป
  • K-WPULTIMATE ลงทุนผสม เพิ่มสัดส่วนหุ้นได้เต็มแม็กซ์ถึง 100% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้สูง เพื่อโอกาสทำกำไรให้พอร์ตเติบโต
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X