วันนี้ (29 สิงหาคม) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยสถานการณ์น้ำว่า ฝนที่ตกเพิ่มในพื้นที่ตอนบนของประเทศขณะนี้ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มขึ้น เช่น บริเวณลุ่มน้ำยมที่สถานีวัดน้ำ Y.37 บ้านวังชิ้น อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ และที่สถานีวัดน้ำ Y.14A อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร
กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยม โดยผันน้ำบางส่วนลงแม่น้ำน่าน และผันน้ำในแม่น้ำยมสายเก่าเข้าไปเก็บไว้ที่พื้นที่หน่วงน้ำทุ่งบางระกำ ซึ่งขณะนี้รับน้ำเข้าพื้นที่ไปแล้วประมาณ 62 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 15%
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่อำเภอศรีสัชนาลัย, อำเภอสวรรคโลก, อำเภอศรีสำโรง และอำเภอเมืองสุโขทัย ปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งแล้ว แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่บางส่วนบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเร่งระบายน้ำออกจากทุ่งลงแม่น้ำยมให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมรองรับปริมาณฝนตกในพื้นที่
ด้านสถานการณ์น้ำในแม่น้ำน่านที่มีปริมาณฝนตกเพิ่มเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นแต่ยังไม่ล้นตลิ่ง โดยปริมาณน้ำจากแม่น้ำน่านจะไหลมารวมกับแม่น้ำยมที่สถานีวัดน้ำ C.2 ขณะที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,273 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา โดยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในอัตรา 1,300 ลบ.ม./วินาที เพื่อเร่งระบายน้ำทางตอนบนลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด ซึ่งปริมาณน้ำที่ระบายดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำอย่างบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง, คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียงในอำเภอเสนา รวมถึงตำบลลาดชิดและตำบลท่าดินแดงในอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 50-150 เซนติเมตร
โดยที่สถานีวัดน้ำบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ยในอัตรา 1,300 ลบ.ม./วินาที แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงวันที่ 30-31 สิงหาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, จังหวัดปทุมธานี, จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานครในบางพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมและพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในช่วงต้นเดือนกันยายนจะมีปริมาณฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง รวมถึงภาคตะวันออก จึงยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดต่อไป
อ้างอิง:
- กรมชลประทาน
