×

รองอธิบดีอัยการฯ เรียกประชุมคดี “เป้รักผู้การเท่าไหร่ฯ” ขีดเส้นสรุปสำนวนใน 2 เดือน ยืนยันต้องชัดเจน ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

โดย THE STANDARD TEAM
30.10.2023
  • LOADING...

วันนี้ (30 ตุลาคม) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานการสอบสวน อาคารถนนบรมราชชนนี วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน คดี 140 ล้าน เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนทั้งพนักงานอัยการและตำรวจ โดยมี พล.ต.ต. กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งเป็นผู้แทน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม 

 

วัชรินทร์กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีว่า เนื่องจากคดีนี้เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งพนักงานอัยการต้องเข้าร่วมการสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานอัยการเพื่อกำกับดูแลคดีนี้แล้ว แต่ภายหลังมีบางส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไป จึงได้มีการแต่งตั้งชุดทำงานคณะใหม่ขึ้นมา 

 

ขณะที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เดิมทีมี พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปแล้วในวาระการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุด รวมถึงมีตำรวจพนักงานสอบสวนบางนายในคดีนี้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ซึ่งสืบเนื่องจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา 

 

ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างรอให้ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนชุดใหม่เพื่อกำกับดูแลคดีนี้ต่อไป

 

โดยในวันนี้ทางคณะพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะร่วมกันหารือถึงความคืบหน้าทั้งหมดในคดี เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินคดีและรวบรวมพยานหลักฐาน จัดทำส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยยืนยันว่าจะเร่งทำสำนวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นได้สอบปากคำพยานในคดีนี้ไปแล้วจำนวน 15 ราย และภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นจะมาเปิดเผยข้อมูลกับสื่อมวลชนอีกครั้ง

 

ภายหลังการประชุมชุดคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีตำรวจรีดทรัพย์ 140 ล้าน 

 

วัชรินทร์กล่าวต่อว่า จากการประชุมร่วมกันระหว่างทีมพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทีมพนักงานอัยการสอบสวนก็มีการตกผลึกข้อมูลร่วมกัน โดยได้หารือในประเด็นต่างๆ ว่ายังมีประเด็นใดที่ค้างคา ต้องสอบสวนเพื่อหาความเชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ชัดเจนมากที่สุด 

 

โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการเงิน และได้ข้อสรุปว่าคณะทำงานจะสามารถทำสำนวนคดีนี้ให้เสร็จได้ภายใน 2 เดือน โดยการทำสำนวนจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหา และยืนยันว่าทุกอย่างต้องชัดเจน ต้องตอบให้ได้ทั้งหมดว่าใครถูกดำเนินคดีเพราะอะไร มีความเชื่อมโยงตรงไหน หากไม่พบความเกี่ยวข้องจะไม่มีการดำเนินคดี

 

ส่วนพยาน 15 ปากที่คณะทำงานได้เรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ ได้ข้อมูลที่เพียงพอ หลังจากนี้อาจมีการเรียกพยานใหม่มาสอบสวนเพิ่มเติมอีก แต่ถือว่าเหลือไม่มากแล้ว โดยในการสอบสวน จะเรียกมาที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี ซึ่งมีการตั้งวอร์รูมขึ้นที่นี่

 

สำหรับหัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะมีการแต่งตั้งคนใหม่มาแทน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ในการประชุมวันนี้ได้เน้นย้ำกับทีมพนักงานสอบสวนของตำรวจที่รู้รายละเอียดสำนวนเป็นอย่างดีว่า ให้อธิบายรายละเอียดกับผู้ที่จะมาดูแลสำนวนคนใหม่ให้รัดกุมครบถ้วนมากที่สุดเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว 

 

ทั้งนี้ยืนยันว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคณะทำงานหลายส่วน แต่การทำงานคดีนี้ไม่มีสะดุดแน่นอน ที่ผ่านมาก็มีการสอบสวนมาอย่างต่อเนื่อง แม้มีพนักงานสอบสวนของตำรวจบางส่วนที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่อัยการก็ยังประสานกับส่วนที่เหลือให้มาร่วมสอบสวนตลอด

 

โดยหลังจากคณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องในชั้นสอบสวนก็จะส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยคดีนี้เกี่ยวข้องกับความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

 

มีรายงานว่า สำหรับกรณีนี้ตำรวจสถานีตำรวจภูธร (สภ.) คูคต ได้ดำเนินคดี พล.ต.ต. กัมพล ลีลาประภาภรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และลูกน้อง รวม 10 คน กรณีไปจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน แล้วนำตัวไปรีดเงิน 140 ล้านบาท เพื่อแลกกับการเคลียร์คดี จนมีวลีว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา” 

 

แต่ภายหลังกลุ่มผู้ต้องสงสัยไม่พอใจกับพฤติกรรมของตำรวจชุดจับกุม จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.คูคต จังหวัดปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีกับตำรวจชุดดังกล่าว ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา และต่อมา ป.ป.ช. ก็มีคำสั่งให้ส่งสำนวนกลับมาให้ชุดพนักงานสอบสวนเดิมทำคดีต่อ

 

ในคดีนี้แรกเริ่มต้นเรื่องเป็นของพนักงานสอบสวน สภ.คูคต จากนั้นจึงมีการตั้งคณะทำงานเพิ่มเติมโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมอบหมายให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน แต่ในข้อกฎหมายการกระทำความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.บ.อุ้มหายนั้น จะต้องมีพนักงานอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนกับตำรวจในชั้นสอบสวนด้วย ซึ่งเดิมทีเป็นอำนาจของสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี แต่เนื่องด้วยมีการเกิดเหตุในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และเชียงราย ทางสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานีจึงทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ว่าเห็นควรให้ทำคดีนี้อย่างไร ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดก็ได้มีคำสั่งให้สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ทำคดีร่วมสอบสวนกับตำรวจ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานทำสำนวน

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X