×

‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา

16.10.2025
  • LOADING...
‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา

บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WASH’ เจ้าของบริการร้านสะดวกซักครบวงจร แบรนด์ ‘WashXpress’ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 105,882,352 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด

 

เสนอขายที่ราคา 7.50 บาทต่อหุ้น มูลค่าระดมทุน 794,117,640 บาท นักลงทุนสามารถจองซื้อได้ระหว่าง วันที่ 24 และ 27 – 28 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้คาดว่าหุ้น WASH จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

 

หลังการระดมทุน บริษัทมีแผนนำเงินไปลงทุนขยายธุรกิจเชิงรุก ผ่าน 3 แกนหลัก ดังนี้

 

1. ตั้งเป้าหมาย เปิดสาขาใหม่ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของจำนวน 80 สาขาในปี 2568 และมีแผนขยายสาขาอีกไม่น้อยกว่า 160 สาขาในปี 2569 – 2570

 

2. พัฒนาและขยายบริการครบวงจร (Full Service) ตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าที่หลากหลาย ขยายบริการที่มีอยู่แล้ว เช่น บริการซักอบพับ บริการรับรีด และบริการรับจ้างซักอบรีด ในปริมาณมากสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) ให้ครอบคลุมสาขามากขึ้น รวมถึงมีแผนพัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น บริการรับ-ส่งผ้าถึงมือลูกค้า (Delivery Service)

 

3.พัฒนาแอปพลิเคชัน WashXpress สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า พร้อมนำข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานมาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ ด้วย Subscription Model

 

ปัจจุบัน บริษัทดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจให้บริการร้านสะดวกซักแบบครบวงจรภายใต้แบรนด์ ‘WashXpress’
2. ธุรกิจให้สิทธิบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์
3. ธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า สินค้าอื่น ๆ และบริการที่เกี่ยวข้อง

 

โชว์จุดแข็ง ‘ความเป็นเจ้าของ’ ช่วยคุมต้นทุน เพิ่มกำไร

 

กวิน กลองกระโทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง จุดแข็งที่แตกต่างของ ‘WashXpress’ ที่ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้ ท่ามกลางตลาดร้านสะดวกซักในประเทศไทยที่แข่งขันสูง (RedOcean) คือ โมเดลธุรกิจ ความเป็นเจ้าของ หรือ Owner-Operator โดยบริษัทเน้นลงทุนและบริหารจัดการสาขาด้วยตนเอง ทำให้สามารถสร้างระบบการบริการที่มีมาตรฐานผ่านแอปพลิเคชัน ควบคุมต้นทุนการดูแลอุปกรณ์ ตลอดจนความสะอาดหน้าร้านให้มีคุณภาพเท่าเทียม กันในทุกสาขา สร้างรายได้ที่ต่อเนื่อง (Recurring Income)

 

สะท้อนจากสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ที่มาจากธุรกิจร้านสะดวกซักที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 92.10% – 96.60% ของรายได้รวม ทั้งนี้ปัจจุบัน ‘WashXpress’ มีทั้งหมด 548 สาขา โดยแบ่งเป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 469 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 79 สาขา

 

การที่บริษัทเป็นเจ้าของสาขาเอง ช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการลดต้นทุน และควบคุมมาตรฐานการบริการ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ แก้ pain point ของธุรกิจร้านสะดวกซักส่วนใหญ่ที่เน้นซื้อแฟรนไชส์ แต่ไม่ได้มีระบบควบคุม มาตรฐานการให้บริหาร

 

แผนการขยายสาขาในช่วง 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะทำให้บริษัทมีต้นทุนลดลง และกำไรเพิ่มขึ้น จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ตามหลัก Economy of scale เน้นขยายสาขาไปตามหัวเมืองในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะภาคใต้ และภาคเหนือ โดยพิจารณาทำเลจากความหนาแน่นของชุมชน อย่างไรก็ตามตลาดกรุงเทพ และปริมณฑล ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก เช่น พื้นที่สำนักงาน ปั๊มน้ำมันต่างๆ

 

ตลาดร้านสะดวกซักไม่อิ่มตัว โตตามเมกะเทรนด์

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมร้านสะดวกซักในประเทศไทยยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ตามเมกะเทรนด์การขยายตัวของสังคมเมือง ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะหัวเมือง และเขตเศรษฐกิจ ส่งผลให้คนหันมาอยู่คอนโดมิเนียม หรืออพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัด
และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เน้นความรวดเร็วและสะดวกสบาย

 

โดยมูลค่าตลาดได้ขยายตัวจากประมาณ 3,000 ล้านบาทในปี 2563 มาอยู่ที่ 10,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่าสูงถึง 13,500 ล้านบาทในปี 2567

 

ปัจจุบัน ธุรกิจร้านซักผ้าในไทยประกอบด้วย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ร้านเครื่องซักผ้า หยอดเหรียญ, ร้านซักรีดทั่วไป และร้านสะดวกซัก (Laundromat) ซึ่งร้านสะดวกซัก มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถตอบสนองความ ต้องการ ของผู้บริโภคในด้านความสะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพสูงกว่าการซักผ้าที่บ้าน โดยการเติบ

 

ผลดำเนินงาน 3 ปี โตแกร่ง

  • 2565 รายได้ 464.47 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59.31 ล้านบาท
  • 2566 รายได้ 657.06 ล้านบาท กำไรสุทธิ 67.28 ล้านบาท
  • 2567 รายได้ 823.58 ล้านบาท กำไรสุทธิ 83.47 ล้านบาท

 

อัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย ที่ 33.16% ต่อปี
อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 18.63% ต่อปี

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ น้อยกว่าการเติบโตของรายได้ เป็นผลมาจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน ซื้อเครื่องจักร และจ้างพนักงาน เพื่อรองรับการขยายสาขาในอีก 2 ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกระแสเงินสดสุทธิ จากกิจกรรมดำเนินงาน เป็นบวกและเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จาก 247.53 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 341.60 ล้านบาท ในปี 2566 และ 430.95 ล้านบาทในปี 2567

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising