ตลาดหุ้น Wall Street ของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (12 มกราคม) ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สาม แม้ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ จะพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวขยับเคลื่อนไหวไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นเล็กน้อยที่ 0.3% ปิดที่ 4,726.35 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 0.23% ปิดที่ 15,188.39 จุด นับเป็นการปิดตลาดในแดนบวกต่อเนื่องเป็นวันที่สาม และดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.11% มาอยู่ที่ 36,290.32 จุด
ความเคลื่อนไหวในตลาด Wall Street สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความวิตกเกี่ยวกับระดับเงินเฟ้อ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อขยับไปในทิศทางที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า และประเด็นสำคัญที่ต้องให้น้ำหนักในเวลานี้ก็คือ จังหวะเวลาที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลง เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญเกี่ยวกับท่าที่ของ Fed ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยว่าจะแข็งกร้าวมากเพียงใด
สำหรับหุ้นกลุ่มที่ขยับขึ้นมากที่สุดเมื่อวานนี้คือ หุ้นที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นำโดยหุ้นของ Mosaic บริษัทด้านเคมี ที่ขยับขึ้นมากกว่า 3% และบริษัทเหมือง Freeport-McMoRan ที่พุ่งขึ้นถึง 4.4%
ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง โดยบริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft และบริษัทแม่ของ Google อย่าง Alphabet ต่างขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ขณะที่ Tesla ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 4%
นักวิเคราะห์มองว่า ความเคลื่อนไหวของตลาดในวันพุธที่ผ่านมายังคงอยู่ในจังหวะของการฟื้นตัว หลังจากที่เปิดตลาดรับปีใหม่ 2022 ในแดนลบ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.73% หลังจากขยับขึ้นแตะ 1.8% ในช่วงต้นสัปดาห์
ขณะนี้นักลงทุนต่างรอดูมาตรวัดเงินเฟ้อตัวอื่นๆ ที่นอกเหนือจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพื่อคาดการณ์ทิศทางของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่หมายรวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นถึง 7% ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และทำสถิติตัวเลขเงินเฟ้อประจำปีที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี บวกกับความเห็นของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และไม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างไปจากเดิม พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่า แผนการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของ Fed จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐฯ ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้น Wall Street ปิดตลาดในแดนบวกเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในยุโรปและเอเชียให้ปิดตลาดในแดนบวกด้วยเช่นกัน
โดยดัชนี pan-European Stoxx 600 ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% พร้อมจับตารอดูท่าทีของ Fed หลังจากนี้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน โดยดัชนี Shanghai Composite ปิดที่ 3,597.43 จุด เพิ่มขึ้น 29.99 จุด หรือ 0.84% ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ปิดที่ 24,402.17 จุด เพิ่มขึ้น 663.11 จุด หรือ 2.79% ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.51 จุด หรือ 1.54% ปิดที่ 2,972.48 จุด และดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 543.18 จุด หรือ 1.92% ปิดที่ 28,765.66 จุด
ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ ยังทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่าทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมในเวลานี้ก็คือ คริปโตเคอร์เรนซี ส่งผลให้ กิโด บูห์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร Seba จากสวิตเซอร์แลนด์ เชื่อว่าราคา Bitcoin มีสิทธิ์จะพุ่งแตะระดับ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนสถาบัน
อย่างไรก็ตาม บูห์เลอร์เน้นย้ำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากราคา Bitcoin ยังคงมีความผันผวนสูง โดยขณะนี้ราคา Bitcoin ได้ดิ่งลงหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือระดับ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/01/11/stock-market-futures-open-to-close-news.html
- https://www.cnbc.com/2022/01/12/european-markets-await-us-inflation-data.html
- https://www.cnbc.com/2022/01/12/bitcoin-could-rise-to-75000-this-year-to-top-record-high-seba-ceo.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP