คงต้องใช้คำว่า ‘เละ’ สำหรับตลาดหุ้น Wall Street เมื่อคืนที่ผ่านมา (3 กุมภาพันธ์) หลังจากดัชนีหุ้นทั้ง 3 ตลาดร่วงลงอย่างรุนแรง เนื่องจากผิดหวังผลดำเนินงานของ Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook
โดยดัชนี Dow Jones ปิดตลาดร่วงลงกว่า 518.17 จุด หรือ -1.45% มาอยู่ที่ 35,111.16 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดลดลง 111.94 จุด หรือ -2.44% มาอยู่ที่ 4,477.44 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 538.73 จุด หรือ -3.74% มาอยู่ที่ 13,878.82 จุด
การลดลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด ได้รับแรงกดดันจากผลดำเนินงานของ Meta ที่ออกมาอย่างน่าผิดหวัง โดย Meta ซึ่งเป็นชื่อเดิมของ Facebook มีกำไรสุทธิ 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 แสนล้านบาทในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Wall Street คาดการณ์ไว้
กำไรที่ลดลงเกิดขึ้นเนื่องจาก Meta ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยี VR และ AR ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้าง Metaverse ที่ซักเคอร์เบิร์กระบุว่า จะเป็นอนาคตของบริษัท ในเวลาเดียวกัน Meta กำลังต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงใน iOS ของ Apple ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจโฆษณาหลักอย่างมาก
หุ้นของ Meta ลดลงมากถึง 26% ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ นับเป็นการลดลงภายในวันเดียวที่มากสุดเป็นประวัติการณ์ และยังทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ด้วย
ทั้งนี้ Meta ได้รายงานการเติบโตที่ชะลอตัวในธุรกิจโฆษณาหลัก ซึ่งยังคงทำรายได้ประมาณ 99.5% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่รายได้จากการโฆษณาเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 3.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ iOS ทำให้การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายยากขึ้น
Meta ยังล้มเหลวในการขยายฐานผู้ใช้งานรายวันหรือรายเดือนบน Facebook จากไตรมาสที่ 3 ซึ่งถือว่าพลาดอย่างผิดปกติสำหรับ Meta โดยผู้ใช้ที่ใช้งานรายวัน (DAU) บน Facebook มีผู้ใช้งาน 1.93 พันล้านคนต่อวันในไตรมาสที่ 4 ลดลง 1 ล้านคนจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียยังแบ่งปันการคาดการณ์คร่าวๆ สำหรับไตรมาสที่จะมาถึง โดยคาดว่ารายรับจะเติบโตเพียง 3-11% เท่านั้น เนื่องจาก ‘อุปสรรคต่อการแสดงผลและการเติบโตของราคา’ ในธุรกิจโฆษณา โดยเสริมว่าแพลตฟอร์มต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นสำหรับเวลาของผู้คน
ผู้บริหาร Meta ตำหนิการเปลี่ยนแปลงของ Apple กับ iOS ซึ่งทำให้ยากต่อการกำหนดเป้าหมายแคมเปญโฆษณาและวัดประสิทธิภาพ เนื่องจากความท้าทายในธุรกิจโฆษณา เชอริล แซนด์เบิร์ก ซีโอโอของ Facebook กล่าวในการพูดคุยกับนักวิเคราะห์ว่า Meta ได้ปรับปรุงความสามารถในการวัดประสิทธิภาพโฆษณาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นสำหรับลูกค้ารายใหญ่ ขณะที่ Meta อาศัยโฆษณาจากธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนนับไม่ถ้วน
ขณะเดียวกันผู้บริหาร Meta ก็ยอมรับว่า ภาวะเงินเฟ้อและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานก็ส่งผลกระทบในทางลบต่องบประมาณของผู้โฆษณาด้วยเช่นกัน
Facebook กำลังดิ้นรนกับการเติบโตของผู้ใช้ ซึ่งมีผลกระทบกระเพื่อมสำหรับธุรกิจโฆษณา เนื่องจากทำให้ผู้คนแสดงโฆษณาน้อยลง สาเหตุที่ผู้บริหารให้การเติบโตของผู้ใช้ที่ซบเซาคือบริการที่แข่งขันกัน โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้ที่อายุน้อยกว่า
“ผู้คนมีตัวเลือกมากมายสำหรับช่วงที่พวกเขาต้องการใช้เวลา และแอปอย่าง TikTok ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
แม้ว่า Meta จะกระโดดเข้าร่วมสงครามวิดีโอสั้นผ่าน Instagram Reels แต่ก็สร้างรายได้ยากกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่ง Meta กำลังชั่งน้ำหนักความสามารถของบริษัทในการสร้างรายได้จาก Reels
ผลประกอบการที่ย่ำแย่นอกจากจะส่งผลให้ราคาหุ้น Facebook ร่วงลงกว่า 26% แล้ว ยังทำให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียอื่นๆ ดิ่งลงด้วย โดยหุ้น Microsoft ร่วงลง 3.9% หุ้น Apple ลดลง 1.67% หุ้น Alphabet ร่วงลง 3.32 หุ้น Twitter ร่วงลง 5.56% หุ้น Snap ทรุดตัวลง 23.6% หุ้น Pinterest ร่วงลง 10.32%
ทั้งนี้ หุ้นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังจาก Paypal เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 1.11 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.12 ดอลลาร์ โดยหุ้น Paypal ร่วงลง 6.24% หุ้น Block Inc ดิ่งลง 11% หุ้น Affirm Holdings ร่วงลง 5.58% และหุ้นโซฟี SoFi Technologies ร่วงลง 4.85%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 238,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 245,000 ราย และต่ำกว่าตัวเลขที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 261,000 ราย
ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐฯ ร่วงลงสู่ระดับ 59.9 ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 59.5 หลังจากแตะระดับ 62.3 ในเดือนธันวาคม
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในคืนวันนี้ (4 กุมภาพันธ์) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมกราคมของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเพียง 178,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.9%
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-02-03/meta-set-for-200-billion-wipeout-among-worst-in-market-history
- https://www.cnbc.com/2022/02/03/facebooks-237point6-billion-drop-in-value-sets-all-time-record.html?__source=iosappshare%7Ccom.apple.UIKit.activity.CopyToPasteboard
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP