อานิสงส์จากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มวุฒิสมาชิกจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน เกี่ยวกับข้อเสนอลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ (24 มิถุนายน) ปิดตลาดในแดนบวก โดยดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้น 322.58 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 34,196.82 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 24.65 จุด หรือ 0.58% ปิดที่ 4,266.49 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 97.98 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 14,369.71 จุด
สำหรับแพ็กเกจดังกล่าวมีมูลค่า 9.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้จะใช้ราว 5.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ในรูปของงบประมาณใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ายังห่างไกลจากการบรรลุข้อตกลงอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากพรรคเดโมแครตของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการให้มีการจัดสรรงบประมาณในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับบุคลากร ขณะที่พรรครีพับลิกันต้องการให้รัฐบาลทบทวนแนวทางการจัดเก็บภาษี
สำหรับหุ้นที่ได้รับแรงหนุนปิดบวกส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและเครื่องจักรขนาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานในครั้งนี้ โดยหุ้น Caterpillar ปรับเพิ่มขึ้น 2.6% ขณะที่ Vulcan Materials ผู้ผลิตเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเพิ่มขึ้น 3.3%
ขณะที่หุ้นในภาคการเงินก็ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน โดยส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากการประกาศผลทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีของภาคธนาคารสหรัฐฯ เมื่อวานนี้
สัญญาณเศรษฐกิจขยายตัวจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ บวกกับสัญญาณฟื้นตัวจากยอดค้าปลีกของเยอรมนีที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ ปิดที่ 73.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 37 เซนต์ ปิดที่ 75.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ในส่วนของราคาทองคำเมื่อวานนี้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนเห็นโอกาสในการลงทุนทำให้เมินสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างทองคำ โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 6.70 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 1,776.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
