ในที่สุดข่าวร้ายที่เหล่าเดอะ ค็อป ไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้นจริง เมื่อมีการยืนยันจากแถลงการณ์ของสโมสรลิเวอร์พูลว่า เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ‘เสาหลัก’ ของทีมจะต้องเข้ารับการผ่าตัดที่หัวเข่า
ทั้งนี้แม้จะไม่มีรายละเอียดอย่างชัดเจนว่าอาการที่ว่านั้นคือจุดไหน และจะต้องใช้เวลาในการพักรักษาตัวนานเท่าไร แต่ตามรายงานข่าวจากสื่อมวลชนทุกสำนักในอังกฤษระบุตรงกันว่าเป็นอาการเอ็นไขว้หน้าเข่าขาด (Anterior Cruciate Ligament: ACL) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บที่เลวร้ายที่สุดของนักฟุตบอล
โดยหากกลับไปดูภาพช้าในจังหวะที่ฟาน ไดจ์ค ถูก จอร์แดน พิกฟอร์ด ผู้รักษาประตูเอฟเวอร์ตัน ปรี่เข้ามาสกัดบอลด้วยการกระโดดสองขาใส่ (ซึ่งเป็นการเล่นที่อันตรายอย่างยิ่ง และถูกวิจารณ์ว่าสมควรเป็นใบแดงทุกกรณี) เข่าของกองหลังกัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์นั้นงอไปด้านหลังอย่างมาก ซึ่งเป็นลักษณะอาการที่เรียกว่า Knee Hyperextension หรือเข่าแอ่น จนทำให้บาดเจ็บอย่างรุนแรง
หากเป็นอาการที่ ACL จริงจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษายาวนานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งทำให้คาดกันว่าฤดูกาลนี้ของฟาน ไดจ์ค ได้จบลงแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การขาดหายของกองหลังวัย 29 ปีรายนี้จะส่งผลกระทบต่อการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลแค่ไหนและอย่างไรบ้าง
1. ความแข็งแกร่งดุจหินผา
‘กองหลังที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้’ คือสิ่งที่คนในวงการฟุตบอลและแฟนๆ ทั่วโลกต่างให้การยอมรับและยกย่องฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนได้อย่างดีถึงความสามารถในการเล่นของปราการหลังชาวดัตช์เชื้อสายซูรินาเมคนนี้
ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่มีความเร็วและความคล่องตัวที่ขัดกับรูปร่าง ทำให้ดาวเตะชาวดัตช์ไม่ต่างอะไรจาก ‘ยักษ์’ หรือ The Colossus ที่ได้เปรียบคู่ต่อสู้เสมอ เพราะถึงจะตัวใหญ่แต่ก็ไม่อืดอาด ยังพอไล่ตามได้ทันหากไม่ถูกฉีกด้วยความเร็วจัดจริงๆ และยังแข็งแกร่งมากพอที่จะเบียดหรือแซะช่วงชิงความได้เปรียบได้ไม่ยาก
เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักที่หักไม่ได้โค่นไม่ลงจริงๆ (ยกเว้นโชคร้ายบาดเจ็บ)
ลูกกลางอากาศคือหนึ่งในไม้ตายของฟาน ไดจ์ค
2. เจ้าเวหาเรียกพี่
นอกจากความแข็งแกร่งในทางราบแล้ว อีกจุดที่ถือเป็นจุดเด่นมากๆ ของฟาน ไดจ์ค คือการเล่นลูกกลางอากาศไม่ว่าจะเป็นเกมรับหรือเกมรุก
ในเกมรับ ฟาน ไดจ์ค สามารถอ่านทางบอลและโหม่งสกัดบอลได้อย่างเด็ดขาด ช่วยแก้ปัญหาเรื่องลูกกลางอากาศของลิเวอร์พูลได้จนแทบหมด เพราะเก็บกินได้ตลอด น้อยครั้งมากที่จะโดนคู่ต่อสู้เล่นงานจากการบอมบ์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของทีมมานาน
ขณะที่ในเกมรุกก็สามารถเติมขึ้นไปเล่นลูกเซ็ตพีซได้อย่างอันตรายเสมอ ซึ่งเรื่องนี้เขาพิสูจน์ให้เห็นตั้งแต่การลงสนามนัดแรกด้วยการโหม่งพังประตูชัยให้ทีมเอาชนะเอฟเวอร์ตันได้ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์ เมื่อเดือนมกราคม 2018 และต่อให้โหม่งไม่ได้ การมียักษ์เดินไปเดินมาในกรอบเขตโทษคู่แข่งก็สร้างความกังวลให้กับคู่ต่อสู้ได้มากแล้ว
3. การเปิดเกมจากแดนหลัง
คุณสมบัติพิเศษในการเล่นอีกอย่างของฟาน ไดจ์ค ที่ทำให้เขาโดดเด่นกว่าใครคือความสามารถในการเปิดบอลยาวจากแนวลึกที่แม่นยำราวจับวางหวังผลได้เสมอ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับบาเยิร์น มิวนิก ในฤดูกาล 2018-19 ที่เปิดบอลยาวจากแดนตัวเองให้ ซาดิโอ มาเน ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตูสำคัญให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบทีมแกร่งจากเยอรมนี
และที่เห็นอีกนับไม่ถ้วนคือการเปิดบอลทแยงมุมด้วยระยะทาง 40-50 หลาให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาได้เติมขึ้นไปทำเกมบุก ซึ่งการเปิดบอลยาวของฟาน ไดจ์ค เป็นการเติมมิติในการเล่นให้ลิเวอร์พูลไม่ตีบตัน และทำให้คู่แข่งไล่จับได้ยาก
4. อิทธิพลต่อเพื่อนและความเป็นผู้นำ
การมีฟาน ไดจ์ค ในสนามยังมีความสำคัญในเรื่องของอิทธิพลที่มีต่อทีม โดยหากมีชื่อของยักษ์ดัตช์อยู่ในทีมก็ทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้สึกอุ่นใจ เล่นได้อย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะกองหลังที่ถูกส่งลงมาจับคู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาติป, โจ โกเมซ หรือดาวรุ่งอย่าง รีส วิลเลียมส์ ก็จะเล่นได้ง่ายตามไปด้วย เพราะฟาน ไดจ์ค จะคอยประคับประคองให้
นอกจากนี้ยังมีความเป็นผู้นำสูง สามารถกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้ในเวลาที่เล่นหย่อนยานหรือผิดพลาด ไม่ว่าวันนั้นจะได้เป็นเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมหรือไม่ก็ตาม
ไม่มีพี่…ไม่มีแชมป์
5. ความสม่ำเสมอ
ความสุดยอดของฟาน ไดจ์ค อีกประการคือความสม่ำเสมอในการเล่น ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของฟอร์มในสนามซึ่งน้อยมากที่จะเล่นผิดหรือพลาด (มีช่วงหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถเลี้ยงผ่านได้เป็นปี) แต่ยังรวมถึงการปราศจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ลงรับใช้ทีมได้ต่อเนื่อง
ก่อนจะบาดเจ็บในเกมล่าสุด เขาลงสนามให้ทีมในพรีเมียร์ลีก 93 นัดติดต่อกัน เป็นการเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลเต็มติดต่อกันแบบครบทุกนาที (2018-19 และ 2019-20) และเคยลงสนามทั้งๆ ที่ซี่โครงหัก (หรือร้าว) 2 ซี่มาแล้ว
เกมสำคัญนัดเดียวที่เขาพลาดคือเกมแรกที่พบกับบาเยิร์น มิวนิก ในฤดูกาล 2018-19 เพราะติดโทษแบน
ขณะที่ โจเอล มาติป มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดเวลา (ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าเกิดอาการบาดเจ็บอีกแล้ว) เช่นเดียวกันกับ โจ โกเมซ ที่แม้จะเจ็บน้อยกว่า แต่มีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ ช่วงที่ดีก็ดีใจหาย ช่วงที่ร้าย (อย่างเช่นตอนนี้) ก็มักจะพลาดทำให้ทีมเสียประตูเป็นประจำ
ทั้งหมดนี้คือเรื่องหลักๆ ที่ลิเวอร์พูลจะต้องทำใจ เพราะมีโอกาสที่จะไม่มีฟาน ไดจ์ค ลงประคับประคองทีมไปจนจบฤดูกาลนี้ และไม่มีใครรู้ว่า เจอร์เกน คล็อปป์ จะหานักเตะใหม่เข้ามาเสริมเพื่อทดแทนหรือไม่ในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูหนาวในวันที่ 1 มกราคม 2021
ระหว่างนี้ไปจนถึงตอนนั้นกินระยะเวลา 11 สัปดาห์ ซึ่งจะมีเกมทั้งหมด 17 นัด
นี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดที่คล็อปป์เคยเจอ และลิเวอร์พูลทั้งทีมกำลังเดินทางไปสู่ดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก เพราะลืมไปแล้วว่าชีวิตที่ไม่มีฟาน ไดจ์ค เป็นอย่างไร
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ลิเวอร์พูลเหลือตัวเลือกอีก 2 คนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักคือ โจ โกเมซ และโจเอล มาติป ขณะที่ตัวเลือกรองลงไปคือ ฟาบินโญ ที่ถูกจัดเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟลำดับที่ 4 ของทีม
- รองลงไปจากนั้นคืออดีตดาวรุ่งอย่าง แนท ฟิลลิปส์ ที่ไม่สามารถหาทีมได้ทัน และดาวรุ่งอย่าง รีส วิลเลียมส์ ซึ่งสร้างชื่อในเกมลีกคัพฤดูกาลนี้กับ บิลลี่ คูเมติโอ ที่แจ้งเกิดได้ในช่วงพรีซีซันก่อนประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ และเซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก กองหลังดาวรุ่งชาวดัตช์ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นทายาทของฟาน ไดจ์ค ในอนาคต
- ก่อนเจ็บครั้งนี้ ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลแบบครบทุกนาทีในเกมพรีเมียร์ลีก 93 นัด ชนะ 72 แพ้ 7 เสมอ 14 ทำได้ถึง 10 ประตู และโดนใบเหลืองแค่ 4 ใบเท่านั้น