บางคนอาจบอกว่า ประตูนี้มีความสำคัญเทียบเท่ากับประตูที่ เซร์คิโอ อเกวโร ทำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 4 ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกสถานการณ์กลับขึ้นไปนำควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 3-2 และเป็นประตูที่ส่งให้ ‘เรือใบสีฟ้า’ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกได้สำเร็จ
แต่ส่วนตัวผมกลับคิดถึงอีกประตูที่ความจริงแล้วก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน และเป็นประตูที่เขาเป็นคนทำด้วยตัวเอง
ประตูที่ว่าคือ ลูกที่ แว็งซองต์ กอมปานี ทะยานขึ้นโขกในเกม ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ นัดที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมนัดที่ 35 ของฤดูกาล 2011-12 ในช่วงก่อนหมดครึ่งเวลาแรก ซึ่งต่อมากลายเป็นประตูชัยที่ทำให้ความหวังในการลุ้นแชมป์กลับมาอยู่ในมือแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้ง
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ซิตี้เคยตกอยู่ในสถานการณ์ตามหลังยูไนเต็ดไกลถึง 8 แต้ม เมื่อเข้าเดือนเมษายน!
ประตูของกอมปานีลูกนั้นทำให้ซิตี้ ซึ่งก่อนลงสนามตามหลังอยู่ 3 คะแนน (ยูไนเต็ดพลาด 2 เกม ทำให้เสียไป 5 คะแนน) กลับมามีแต้มเท่ากัน และมีประตูได้เสียที่ดีกว่า 9 ประตูด้วยกัน
ถ้ากัปตันทีมเรือใบสีฟ้าไม่ได้โหม่งพังประตูในลูกนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงจะหมดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก (เป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปี) และ ‘เส้นเวลา’ ของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เป็นทีมมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษเหมือนในทุกวันนี้
ประตูในเกมล่าสุดที่กอมปานีทำได้ในเกมกับเลสเตอร์ฯ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ค.) จึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ
อย่างที่เรารู้ การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้เป็นไปอย่างเข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา การขับเคี่ยวระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลเป็นไปอย่างดุเดือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่มีใครที่คิดยอมใคร
ในขณะที่ซิตี้ ทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ยังรักษามาตรฐานการเล่นที่น่าเหลือเชื่อต่อจากฤดูกาลที่แล้วเอาไว้ได้ ลิเวอร์พูลเองก็ยกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และที่สำคัญกว่า เรื่องของฝีเท้าคือเรื่องของพลังใจที่ช่วยพลิกสถานการณ์ให้พวกเขามานักต่อนัก
ความอึดที่เหมือน บรูซ วิลลิส ใน Die Hard ของลิเวอร์พูล สร้างความกดดันให้กับซิตี้ได้มากพอสมควรครับ
จากสิ่งที่ได้เห็น ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ค่อยๆ ปรับสไตล์การเล่นจากเน้นความสวยงามมาเน้นเรื่องของผลการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของฤดูกาล ที่เรียกว่าช่วง Run-In พวกเขาทำทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อที่จะคว้าชัยชนะให้ได้
อาจจะไม่สะบักสะบอมเท่ากับคู่แข่งจากเมอร์ซีย์ไซด์ฯ แต่ก็มีหลายนัดที่แชมป์เก่ามีอาการตึงมือ
โดยเฉพาะในเกมกับเลสเตอร์ฯ ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงของเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ทีม ‘จิ้งจอก’ มีผู้จัดการทีมที่ชื่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เคยคุมทัพลิเวอร์พูล เบียดลุ้นแชมป์กับซิตี้จนถึงนัดสุดท้ายก่อนพ่ายภัยตัวเอง การที่เลสเตอร์ฯ เป็น 1 ใน 4 ทีม ที่เอาชนะซิตี้ได้ในฤดูกาลนี้ และการที่ เจมี วาร์ดี หัวหอกตัวเก่ง ซึ่งกลับมาอยู่ในฟอร์มร้อนแรง เป็นกองหน้าที่ชอบยิงประตูทีมซิตี้ของเป๊ปมากที่สุดถึง 5 ลูก จากการลงสนาม 6 นัด
เลสเตอร์ฯ ทำให้ซิตี้ประสบปัญหามากพอสมควรตลอดทั้งเกม โดยเฉพาะในเกมรับที่พวกเขาปักหลักตรึงกำลังช่วยกันต้านทานราวกับเป็นเหล่าทหารหาญที่ต่อสู้กับกองทัพไนต์วอล์กเกอร์ในสมรภูมิที่แดนเหนือ
ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ ในเวลาเดียวกันก็เป็นสถานการณ์ที่สร้างวีรบุรุษขึ้นมาด้วยครับ ซึ่งก็เป็นกอมปานีที่กลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครคาดคิด
ลูกยิงไกลไม่ใช่ลูกถนัดของเขา เพราะตั้งแต่ปี 2013 หรือ 6 ปีมาแล้ว กอมปานีไม่เคยยิงไกลเข้ากรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
ไม่แปลกที่จะไม่มีใครในทีม หรือแม้แต่กองเชียร์ที่อยากให้เขาง้างเท้า
กอมปานีเองก็ยอมรับว่า ในจังหวะนั้นเขาได้ยิน Don’t shoot Vinnie (ซึ่งผมเชื่อว่า ต่อไปจะกลายเป็นเพลงเชียร์สนุกๆ แน่) ดังกระหึ่มเต็มสองรูหู
แต่เขาไม่สนใจและเลือกที่จะตะบันให้สุดแรงเกิด ซึ่งความจริงลูกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ มันอาจจะเหินข้ามคานออกไปไกลลิบ หรืออาจจะติดเซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่วันนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
ทว่า สุดท้ายบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมบนสุดสนั่น เป็นประตูที่นอกจากจะสวยงามระดับส่งเข้าประกวดประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลได้แล้ว ยังเป็นประตูสำคัญที่เชื่อว่า อาจทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เฉือนเอาชนะลิเวอร์พูลในการลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้ได้ด้วย
ราวกับมีใครสักคนบนฟ้าที่เขียนบทเอาไว้ให้เลยว่าไหม?
แต่ในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงอะไรบางอย่าง
ลองจินตนาการตามดูนะครับว่า หากเป็นเราตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเหมือนกันจะทำอย่างไร
เลือกที่จะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมา หรือจะเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป?
สำหรับกอมปานี ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด แต่เขากล้าหาญพอที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อครับ และนั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของคนที่เป็น ‘ผู้นำ’ ที่สามารถยืนหยัดเพื่อคนอื่นได้ในสถานการณ์คับขัน และทำสิ่งพิเศษให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
ผมชอบสิ่งที่เขาพูดหลังจบเกม (แม้จะเจ็บปวดกับผลการแข่งขันก็ตาม!) ว่า “ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ผมพูดเสมอว่า ผมให้สัญญาเลย วันหนึ่งผมจะยิงจากนอกกรอบเขตโทษ และพวกคุณจะมีความสุขกับลูกนั้นแน่”
คำพูดนั้นยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองที่มีอยู่ลึกๆ
เขาเชื่อว่า เขาจะทำได้ และความเชื่อนั้นก็ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น
ชีวิตคนเราบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีแบบนี้แหละครับ ว่าเราจะเลือกทำหรือไม่ทำอะไร
กล้าหรือไม่กล้า?
ไม่ว่าผลการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้นจะเป็นเช่นไร จะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม ผมเชื่อว่า หากเรากล้าพอ มันจะเป็นเสี้ยววินาทีที่ยิ่งใหญ่ที่เราจะจดจำไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลือของเราครับ 🙂
ป.ล. แต่การลุ้นแชมป์ยังไม่จบนะ…
ภาพ: Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- แว็งซองต์ กอมปานี อยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มา 11 ปีแล้ว โดยย้ายมาจากฮัมบูร์กในปี 2008 ด้วยวัย 22 ปี พร้อมกับ ทัล เบน ฮาอิม และโจ (และอีกมากมายที่ตามมา) ก่อนที่สโมสรจะเปลี่ยนไปอยู่ในมือของ ชีก มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ไม่นาน เรียกว่า เป็นกลุ่มนักเตะสตาร์รุ่นแรกที่ช่วยก่อร่างสร้างทีมจนยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
- กอมปานีเป็นกองหลังที่ถูกจับตามองว่า โดดเด่นมาตั้งแต่เป็นเยาวชนกับอันเดอร์เลชต์ เคยได้รางวัล The Belgian Golden and Ebony Shoes หรือรางวัลนักฟุตบอลแอฟริกัน หรือเชื้อสายแอฟริกัน ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในลีกโปรของเบลเยียม (กอมปานีมีเชื้อสายคองโกของพ่อ) ตั้งแต่อายุแค่ 18 ปี
- กับทีมชาติเบลเยียม เขาเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติในรอบ 43 ปี
- ครั้งหนึ่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่งน้องชาย มาร์ติน เฟอร์กูสัน ซึ่งเป็นหัวหน้าแมวมองไปเพื่อติดตามฟอร์มและทาบทามดึงกอมปานีมาสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ในเวลานั้นอันเดอร์เลชต์ปฏิเสธที่จะปล่อยตัวให้
- ด้วยความโดดเด่นเรื่องภาวะผู้นำทำให้กอมปานีได้รับปลอกแขนกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเข้าสู่ฤดูกาล 2011-12 ซึ่งทำให้เขาเป็นกัปตันทีมคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก
- หลังปี 2014 กอมปานีประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังต่อเนื่อง จนไม่ค่อยได้ลงสนาม แต่ยังเป็นกำลังสำคัญของทีม และทุกครั้งที่ลงสนาม ก็จะทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้แข็งแกร่งขึ้นราวกับเป็นคนละทีม
- กอมปานีเหลือสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้ ทำให้มีการหวั่นว่า เขาอาจจะย้ายสโมสร แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยืนยันว่า พร้อมจะเสนอสัญญาใหม่ให้กองหลังวัย 33 ปี อย่างแน่นอน