×

อีกไม่นานตลาดหุ้นเวียดนามจะพุ่งทะยานด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล

14.09.2024
  • LOADING...

คุณรู้สึกไหมครับ ในยุคนี้โลกการลงทุนไม่ง่ายเหมือนที่เคยๆ กันแล้ว…ทำไมตัวแปรถาโถมเข้ามาเยอะเหนือคาด สินทรัพย์ประเภทต่างๆ ก็พลิกผันเร็วเหลือเกิน

 

ตลาดหุ้นไทยในไม่กี่วันมานี้ร่วงลงมาแรงเหลือเกิน แต่เพียงไม่กี่วันผ่านไปก็ฟื้นราวกับหนังคนละม้วน 

 

เป็นธรรมดาของ ‘หุ้น’ สินทรัพย์ที่ตีคู่กับความผันผวนอยู่แล้ว แต่นับวันก็อ่อนไหวพลิ้วไปพลิ้วมา แม้ทำใจสู้แค่ไหนก็มีบางช่วงที่ขวัญผวาเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะสงครามหรือความขัดแย้งของโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือระเบียบการค้าที่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ของโลก จุดเปลี่ยนผ่านของประเทศมหาอำนาจทั้งด้านผู้นำการเมืองและเศรษฐกิจที่กระทบทั่วโลก รวมไปถึงภาคการผลิตธุรกิจต่างๆ ที่เคยสดใส จู่ๆ ก็อาจจะตกที่นั่งลำบากได้เหมือนกัน ล้วนเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด 

 

ใครที่บอกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสุด ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนอีกต่อไป เพราะแม้แต่พี่ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ ก็ยังเผชิญความยากลำบากในการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินหรือดอกเบี้ยที่ชัดเจนให้แก่ตลาดได้

 

แม้แต่ ‘ทองคำ’ ที่ถูกจัดให้เป็น Safe Haven ในช่วงที่มีสงครามโลกหรือเศรษฐกิจถดถอยก็อาจไม่ได้ตอบโจทย์ ในเมื่อราคาพุ่งขึ้นมาสูงมากๆ แล้ว 

 

ก่อนจะไปถึงจุดแห่งโอกาสที่ผมจะมาแชร์ข้อมูลทางเลือกทางรอดในการจัดพอร์ตเพิ่มความทนทานรอดทุกวิกฤต ผมขออัปเดตสถานการณ์ตลาดโลกในช่วงนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นสักนิด และค่อยพูดถึงโอกาสลงทุนที่ควรมองหา​นะครับ

 

โลกระส่ำ​ รอลุ้น Fed ลดดอกเบี้ยเร็ว-แรง ป้องเศรษฐกิจถดถอย

 

เปิดต้นเดือนกันยายน หุ้นทั่วโลกฉายแววไม่สดใสเสียเลย เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก โดยเฉพาะวันที่ 6 กันยายน ที่สหรัฐฯ เปิดตัวเลขการจ้างงานออกมาต่ำกว่าคาด กดดันตลาดทรุดแรง ทำให้ภาพรวมในสัปดาห์แรกของเดือน (2-6 กันยายน 2024) ดัชนี S&P 500 ร่วง -4% ไปแล้ว มูลค่าตลาดวูบหายไป 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทีเดียว นับเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดของหุ้นสหรัฐฯ ในรอบ 1 ปี 

 

นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มย่อยข้อมูล Nonfarm Payrolls เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 164,000 ตำแหน่ง และยังมีตัวเลขปรับลดของเดือนกรกฎาคมสู่ระดับ 89,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานที่ระดับ 114,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% จากเดือนกรกฎาคมที่อยู่ระดับ 4.3% 

 

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังกังวลว่า Fed อาจขยับช้าไปในการช่วยพยุงเศรษฐกิจจากภาวะถดถอย (Recession) เป็นข่าวลบในตลาดทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี NASDAQ โดยมีแรงเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอย่างหนัก และพันธบัตรมีความผันผวน และคาดว่าจะกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจนถึงวันที่ Fed ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 17-18 กันยายนนี้

 

เรามาดูมุมมองต่างๆ ที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ แมรี ดาลี ประธาน Fed สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า Fed จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงตลาดแรงงานให้ยังคงแข็งแกร่ง แต่การจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่ Fed จะได้รับในวันข้างหน้า

 

เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 39% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% จากระดับปัจจุบันที่ 5.25-5.50% และให้น้ำหนัก 61% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 5-5.25%

 

ด้าน Citibank คาดการณ์ว่า Fed จะกล้าใช้ยาแรงจริง ‘ลดดอกเบี้ย 0.50%’

 

นักเศรษฐศาสตร์ JPMorgan ให้ความเห็นว่า Fed ควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และระบุว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่ Fed จะต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่เป็นกลาง (4%) โดยเร็วที่สุด ซึ่งจะต้องลดดอกเบี้ยลง 1.50% จากปัจจุบัน

 

นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดยังไม่มั่นใจว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในทันที เนื่องจากการเติบโตของการจ้างงานยังคงต่ำเกินไปที่จะส่งสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน 

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของ Fed และการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ที่กำลังหาเสียงกันอย่างเข้มข้น อีกทั้งความคุกรุ่นของสงครามในตะวันออกกลางที่เกี่ยวโยงกับสหรัฐฯ เป็นระยะๆ และจะมีปัจจัยเสี่ยงอื่นเพิ่มหรือไม่ก็คาดล่วงหน้าไม่ได้ 

 

แม้วันนี้บรรยากาศการลงทุนของสหรัฐฯ ยังขมุกขมัวอยู่ แต่ผมก็มองเห็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจครับ 

 

‘เวียดนาม’ ส้มหล่น! เทคยักษ์ระดับโลกทุ่มงบลงทุน 

 

ในช่วงที่ผ่านมา ผมเริ่มหันมามองโอกาสการลงทุนกับประเทศที่อยู่ใกล้ๆ เราครับ นั่นก็คือ ‘เวียดนาม’ 

 

ปีนี้ถือเป็นปีพลิกฟื้นของตลาดหุ้นเวียดนามอีกครั้ง หลังจากที่ติดหล่มวิกฤตอสังหาริมทรัพย์เมื่อปลายปี 2022 และปัญหาทุจริต​ในตลาดหุ้น รวมถึงปมการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้เวียดนามค่อยๆ สางปมใหญ่ออกทีละเปลาะครับ ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับมาลงทุนในเวียดนามเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังสภาเวียดนามปลดล็อกกฎระเบียบการลงทุนให้กับต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตั้งเป้าหมายยกระดับประเทศก้าวขึ้นสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

 

ยิ่งผมเห็นข่าวใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Google จ่อทุ่มเงินลงทุนกว่า 300-650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล (Hyperscale) ในเวียดนาม 

 

ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าเวียดนามฉายแววไปต่อ…

 

แม้ตอนนี้ Google จะยังไม่ประกาศข่าวนี้อย่างเป็นทางการ แต่ Reuters ก็รายงานความเคลื่อนไหวว่า ขณะนี้ Google อยู่ระหว่างการเจรจาภายใน และศูนย์ข้อมูลอาจพร้อมใช้งานได้ในปี 2027 ซึ่งจะอยู่ใกล้กับนครโฮจิมินห์ ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางตอนใต้ของเวียดนาม 

 

การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกลในเวียดนาม นับเป็นการลงทุนครั้งแรกของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเป็นศูนย์ข้อมูลที่มีขนาด 50 เมกะวัตต์ ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม และใช้พลังงานเทียบเท่ากับเมืองขนาดใหญ่ 

 

ทั้งนี้ ตลาดบริการดิจิทัลของเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติในแวดวงศูนย์ข้อมูลไม่ค่อยสนใจหรือกล้าเข้ามาลงทุน เพราะเวียดนามมีปัญหาไฟฟ้าดับค่อนข้างบ่อย และโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่อ่อนแอ ซึ่งยังคงต้องพึ่งสายเคเบิลใต้ทะเลที่เก่า ทำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เลือกจัดตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศอื่นมากกว่า เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

 

แล้วอะไรที่ดึงดูด Google ให้ตัดสินใจเลือกลงทุนที่เวียดนาม 

 

เวียดนามเป็นประเทศที่มีลูกค้าใช้บริการคลาวด์ทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก ท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศกำลังขยายตัว Google สังเกตว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุดสำหรับ YouTube​ แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ยอดนิยมของ Google 

 

ขณะที่เวียดนามมีประชากร 100 ล้านคน มีความต้องการบริการดิจิทัลเพิ่มขึ้น Google มองเห็นว่าตลาดนี้ยังเติบโตอีกมาก ซึ่งเร็วๆ นี้ Google กำลังจะเปิดสำนักงานตัวแทนในเวียดนาม และกำลังจ้างวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศเวียดนาม 

 

นอกจากนี้ Google ยังให้ทุนการศึกษา 40,000 ทุนในเวียดนาม สำหรับหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI และเงินทุน 350,000 ดอลลาร์ต่อสตาร์ทอัพ AI ที่ได้รับเลือกมากกว่า 20 รายอีกด้วย 

 

ปัจจุบันเวียดนามมีผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่แค่ 2 ราย คือ Becamex และ VNPT ซึ่งเป็นบริษัทด้านโทรคมนาคมที่เป็นกิจการของรัฐ

 

ผมเห็นภาพจิ๊กซอว์ของเวียดนามที่เดินหน้ายกระดับประเทศทะยานสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ขณะที่โลกกำลังขนานนามเวียดนามให้ขึ้นแท่น ‘เสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย’

 

คว้าโอกาสลงทุน ‘หุ้นเวียดนาม’ รับเศรษฐกิจดิจิทัล

 

ผมเชื่อว่าวันที่ Google ประกาศการลงทุนในเวียดนามออกมาอย่างเป็นทางการ จะยิ่งเป็นแรงส่งตลาดหุ้นเวียดนามครับ 

 

เรามาดูภาพรวมตลาดหุ้นเวียดนามในปีนี้ ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในโลก และเพิ่งทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ (New High) ไปเมื่อช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทั้งนี้ 5 เดือนแรก ดัชนี VN Index ให้ผลตอบแทนสูงถึง 11.7% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 9.11% และค่าเฉลี่ยของกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier Markets) อยู่ที่เพียง 6.19% เท่านั้น

 

หากถามว่าตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นสูงเกินไปแล้วหรือยัง และจะเติบโตต่อไปในอนาคตได้ขนาดไหน

 

เรื่องแรก ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตสูง เวียดนามได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย’ ด้วยความแข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม 

 

โดยไตรมาส 2 ของปีนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) อยู่ที่ 6.9% สูงเกินกว่าที่ตลาดคาด และยังสูงกว่าไตรมาสแรก 5.9% ด้วย ทำให้ GDP ของครึ่งปีแรกเติบโต 6.4% ซึ่งมีโมเมนตัมจากการเติบโตภาคบริโภคของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้ง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่ามีการชะลอตัวของภาคส่งออกตามดีมานด์ตลาดโลก 

 

แนวโน้มในครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามยังไปได้ต่อเนื่อง ทั้งภาคบริโภคครัวเรือนและการใช้จ่ายภาครัฐที่มีทั้งมาตรการลดภาษี VAT ที่ขยายเวลาต่อไปถึงสิ้นปีนี้และรัฐเร่งลงทุนต่อเนื่อง หลังจากได้ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่งเรียบร้อย สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลายลง ทำให้รัฐเร่งการลงทุนต่อเนื่อง ในส่วนของภาคส่งออก แม้จะมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง อันเป็นผลพวงจาก Fed ที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับสูงนานกว่าคาด ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ GDP เวียดนามปี 2024 เติบโตได้ 6.5% 

 

เรื่องที่สอง นโยบายการเงินนั้น ฐานะการเงินของเวียดนามมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าค่าเงินดองจะอ่อนค่าและมีความผันผวน แต่ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เข้ามาดูแลเพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน หลังจากช่วงปีที่ผ่านมาได้สะสมเงินสำรองระหว่างประเทศไว้มากขึ้นต่อเนื่องจนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าเงินดองที่ผันผวนน้อยลงและตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอีกครั้งและแตะจุดสูงสุด 

 

เรื่องที่สาม เวียดนามยังคงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรง หรือ FDI เข้ามาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่าในประเทศใกล้เคียง ขณะที่แรงงานมีฝีมือ ความรู้ และประสิทธิภาพมากกว่า นอกจากนี้ รัฐบาลยังปฏิรูปกฎระเบียบ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบภาษีให้เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ไม่ใช่แค่​ Google ที่เล็งตลาดเวียดนาม ก่อนหน้านี้บริษัทอีคอมเมิร์ซจีนอย่าง Alibaba กำลังพิจารณาสร้างศูนย์ข้อมูลในเวียดนามเช่นกัน ซึ่งทางการของเวียดนามคาดการณ์ว่าในปี 2024 จะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเติบโตถึง 4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นการเติบโต 3 ปีติดต่อกัน

 

เรื่องที่สี่ ในระยะยาวตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มจะยกระดับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จากปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามถูกจัดอยู่ในกลุ่มตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลเวียดนามมีความกระตือรือร้นในการปฏิรูปกฎหมายเพื่อยกระดับตลาดหุ้นให้ตรงตามมาตรฐานของ FTSE และ MSCI อย่างต่อเนื่อง 

 

ทั้งนี้ หากเวียดนามก้าวสู่ Emerging Market จะส่งผลให้มีเงินทุนแบบ Passive ไหลเข้าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทำให้เวียดนามเป็นที่รู้จักในกลุ่มกองทุนแบบ Active มากขึ้นเช่นกัน

 

ด้านความเสี่ยงของเวียดนามก็ยังมีอยู่ครับ นักลงทุนที่อยากลงทุนหุ้นเวียดนามยังต้องขยันทำการบ้านและติดตามข้อมูลได้อย่างใกล้ชิด โดยความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่

 

ปัญหาหนี้สินอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามที่ยังไม่คลี่คลาย ธนาคารกลางเวียดนามขยายระยะเวลาของมาตรการช่วยเหลือและปรับโครงสร้างหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2024 สะท้อนถึงความกังวลต่อความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ และยังมีแนวโน้ม NPL เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวในประเทศ

 

ปัญหาการอ่อนค่าของเงินดอง ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาด ขณะที่ภาคการเงินของเวียดนามยังมีความเปราะบาง ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินดองอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ธนาคารกลางเวียดนามเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อลดความผันผวนของเงินดอง แต่ทั้งนี้การแทรกแซงค่าเงินจะสามารถทำได้เพียงในระยะสั้น เนื่องจากต้องคำนึงถึงระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมด้วย 

 

เวียดนามกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นใกล้กรอบบนของอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย 4.0-4.5% ทำให้ธนาคารกลางเวียดนามมีโจทย์ที่ท้าทายในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งอาจช่วยบรรเทาปัญหาการอ่อนค่าของเงินดอง กับโจทย์ปัญหาหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อตึงตัวในภาคการเงิน

 

จริงๆ แล้วปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจเป็นโจทย์ที่ทุกประเทศต้องเผชิญ และใช้ระยะเวลาในการแก้ไขคลี่คลายทีละปม แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการวางนโยบายเศรษฐกิจในระยะยาว หากมีทิศทางชัดเจนและมีอนาคตที่เติบโตก้าวทันโลก แน่นอนว่าประเทศนั้นจะยังคงความน่าลงทุนไว้ได้ 

 

ลงทุนหุ้นเวียดนามให้รอดระยะยาว 

 

ผมมองภาพระยะยาวของเวียดนามที่กำลังเดินหน้ายกระดับประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และที่สำคัญเวียดนามได้เปรียบจากการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาสร้างฐานการผลิตที่ไม่ใช่แค่เป็นโรงงานผลิตของโลกเท่านั้น แต่กำลังจะเป็นฐานบริการข้อมูลดิจิทัลใหญ่อีกแห่งของโลก และเชื่อว่าเวียดนามไม่ได้หยุดแค่พึ่งพาเงิน FDI แต่กำลังต่อรองให้ต่างชาติช่วยสร้าง Know-How ด้านเทคโนโลยี AI ให้กับคนในประเทศด้วย 

 

คุณอาจรู้สึกว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังมีแรงเหวี่ยงขึ้น-ลงค่อนข้างมาก ก็เป็นธรรมดาของหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ​คุณไม่มีทางรู้หรือเดาได้ถูกต้องทุกครั้งว่าตอนไหนของการลงทุนคือจุดสูงสุดหรือต่ำสุด ผมจึงอยากเน้นย้ำถึงกลยุทธ์สำคัญอย่างการ DCA (Dollar Cost Averaging) ที่เป็นวิธีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนไม่ให้คุณติดดอย

 

คุณอาจรู้ว่าในระยะยาวตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น ดังนั้น การ DCA จะช่วยกระจายความเสี่ยงด้านราคาที่ดีครับ ​ไม่ต้องมาคอยคิดว่าเข้าถูกหรือผิดจังหวะ 

 

ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากการเป็นตลาดหุ้นชายขอบและการเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังไม่มีเสถียรภาพและยังพึ่งพิงต่างชาติสูง ในขณะเดียวกันมีโอกาสเติบโตสูงจากการปรับตัวเพื่อยกระดับสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

 

หากคุณต้องการคว้าโอกาสทำกำไรจากหุ้นเวียดนามในตอนนี้ และรอเติบโตไปกับอนาคตเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย ผมแนะนำให้คุณ DCA กับหุ้นเวียดนามด้วย เพื่อถัวเฉลี่ยราคา ช่วยไม่ให้ติดดอย ลดความผันผวน และทนทานในยามที่มีมรสุมข่าวร้ายเข้ามาในแต่ละช่วง เมื่อสถานการณ์พลิกกลับมาสู่ภาวะปกติ พอร์ตของคุณก็ยังเติบโตไปต่อได้ครับ

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising