SCB CIO มีมุมมองว่าการลงทุนใน ตลาดหุ้นเวียดนาม ยังมีมูลค่า ซึ่งถูกเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดียที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว มีแนวโน้มการเติบโตอยู่ในระดับที่ดี สามารถทำ ROE อยู่ในระดับเกิน 10%
สกลฉัฐฐ์ เชาวน์เลิศเสรี CFA นักวิเคราะห์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีแนวโน้มทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 สามารถให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในระดับประมาณ 10% ถือเป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากช่วงปี 2022-2023 ที่เวียดนามประสบกับวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยรัฐบาลเวียดนามได้เข้าควบคุมดูแล ส่งผลให้สถานการณ์ปัญหาคลี่คลายลง
อีกทั้งยังเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยในไตรมาส 2/24 ที่ผ่านมา GDP ของเวียดนามมีการขยายตัวในระดับ 6.9% นำโดยภาคการส่งออกของเวียดนามในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่สามารถขยายตัวได้ตัวค่อนข้างดี
ขณะที่ในภาคการผลิตของเวียดนามเมื่อดูตัวเลขดัชนี PMI ก็สามารถฟื้นตัวดีต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดรายงานของเดือนมิถุนายนปีนี้มีตัวเลขดัชนี PMI อยู่ที่ระดับ 55 ถือว่าเป็นตัวเลขที่ออกมาโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเวียดนามได้ประโยชน์จากการขยายฐานเข้ามาลงทุนของจีนเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อีกทั้งสินค้าที่มีการผลิตและส่งออกสอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่กำลังเติบโตสูงคือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งการบริโภคในประเทศมีปัจจัยสนับสนุนใหม่ที่เข้ามาช่วยเศรษฐกิจ คือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีหลังจากสถานการณ์โควิดระบาด คล้ายกับภาคการท่องเที่ยวของไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของเวียดนามมีการฟื้นตัวเข้าใกล้ในระดับก่อนที่จะมีโควิดระบาดแล้ว
เวียดนามดินแดน Rising Star แห่ง FDI
ปัจจุบันถือว่าเวียดนามเป็น Rising Star ในภาคการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) โดยหากเปรียบเทียบข้อมูลในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 เทียบกับในอดีตย้อนหลังของช่วงเดียวกัน พบว่า FDI ของเวียดนามมีการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2012 สะท้อนข้อมูลว่าภาพการลงทุน FDI ของเวียดนามยังมีทิศทางที่สดใส
อย่างไรก็ดี หากพิจารณามูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นเวียดนามปัจจุบันแม้ว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับประมาณ 10% แต่หากพิจารณาในแง่ของค่า P/E ยังอยู่ในระดับ -1SD ซึ่งสะท้อนว่าราคาหุ้นของเวียดนามยังไม่แพงมากนัก ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของตลาดหุ้นเวียดนามถือว่าทำได้ในระดับที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน
อีกความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือการเคลื่อนไหวของค่าเงินดองของเวียดนามที่มีความอ่อนไหวสูงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่เกิดภาวะสงครามในตะวันออกกลาง ส่งผลกระทบกดดันให้ค่าเงินดองของเวียดนามอ่อนค่าลงในระดับประมาณ 5% ส่วนค่าเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงไประดับ 10% ส่วนเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงไปในระดับ 6-7%
ปัญหาค่าเงินดองอ่อนค่าคลี่คลาย
ขณะที่ปัญหาของค่าเงินดองที่อ่อนค่าลงก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางเวียดนามได้เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดยใช้วิธีนำทองคำออกมาขายในตลาดเพื่อให้ประชาชนในประเทศนำเงินมาลงทุนซื้อทองคำในประเทศ ทดแทนการสั่งซื้อนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการทำให้ค่าเงินดองมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ ส่งผลให้ค่าเงินดองในระยะต่อไปอาจไม่ได้อ่อนค่าอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา หลังจากมีมาตรการแก้ปัญหาได้ค่อนข้างดี
นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ธนาคารกลางเวียดนามมีการใช้นโยบายลดดอกเบี้ยสวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปี 2023 แต่ Fed มีโอกาสที่จะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่งผลบวกต่อสถานการณ์ค่าเงินดองของเวียดนาม
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ถือเป็นความเสี่ยง คือภาคอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งจากข้อมูลในปี 2022 พบว่ามีบริษัทผิดนัดชำระจ่ายหนี้หุ้นกู้เป็นจำนวนค่อนข้างสูง ขณะที่สถานการณ์ในปีนี้มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามมีจำนวนการผิดนัดชำระหนี้ที่ลดลง สะท้อนว่าปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2022-2023 สามารถปรับแก้ไขได้ค่อนข้างดี
รวมทั้งหากไปดูอัตราการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในประเทศเวียดนามเริ่มมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวและเติบโตขึ้น
ตลาดหุ้นเวียดนามราคาถูกมีโอกาสโต
โดยสรุปมีมุมมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามยังมีมูลค่า ซึ่งถูกเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดียที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนการลงทุนไม่มาก เพราะยังติดในแง่ของเกณฑ์ควบคุม Foreign Limit ส่งผลให้นักลงทุนหลักจะเป็นกลุ่มนักลงทุนรายย่อยในประเทศ รวมถึงการอ่อนค่าของเงินดองในช่วงก่อนหน้านี้
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงกับโอกาสเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามมีมุมมองว่ายังเป็นโอกาสการลงทุน เพราะเปรียบเทียบความเสี่ยงแล้วประเมินว่ายังคุ้มค่าในการลงทุน ด้วยแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เพราะสามารถทำ ROE อยู่ในระดับเกิน 10% โดย SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามได้
ทั้งให้ติดตามปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่เหลือระยะเวลาอีกประมาณ 4 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เนื่องจากเวียดนามถือเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าค่อนข้างสูงกับสหรัฐฯ และติดอยู่ในรายชื่อที่ถูกควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ซึ่งหาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะทยอยออกมาหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อไป